การวิเคราะห์เชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ (Qualitative
and Quantitative Analysis)
ในการวิเคราะห์เชิงปริมาณเราใช้งบการเงินเป็นหลัก
และควรใช้หลายปีต่อเนื่อง ต่ำสุดควรใช้ 3 ปี
เป็นอย่างน้อย ไม่ใช่ 3-4 ไตรมาส และไม่ใช่มองแต่กำไรสุทธิ (Bottom
line) เพราะนั่นไม่ต่างกับนักเก็งกำไรเท่านั้น
และคนที่เข้าใจงบการเงินและการบริหารธุรกิจ
จะเข้าใจดีว่าการติดตามเพียงระดับไตรมาสอย่างเดียว จะไม่เห็นภาพใหญ่ การลงทุนเพื่อการออมระยะยาวนั้นไม่ใช่ทำกำไรวันต่อวัน
เดือนต่อเดือน หรือปีต่อปี
แต่หมายถึงหุ้นตัวนั้นทำให้คุณมีกระแสเงินสดหลังเษียณไปนานเท่าใด ไม่ใช่ขายกำไร 50% ในหนึ่งสัปดาห์ ซื้อห้าแสนได้กำไรมาสองแสนหาในสัปดาห์หน้า แล้วอย่างไรต่อ
เงิน 7.5 แสน ยังชีพได้ไหมหลังเกษียณ หลายคนก็ต้องไปหาหุ้นอื่นต่อ
ที่ทำกำไร และทุกคนก็หวังจะได้หุ้นแบบเดิมกำไรงามๆ แต่หุ้นกำไรแบบนั้นมีมากมายที่หาได้บ่อยๆแบบนั้นหรือ
ก็เปล่า มักลงเอยด้วยการทำเงิน 2.5 แสนนั้น หายไปในตลาด
เหมือนได้เกลือจากน้ำทะเลมา แล้วก็เอาภาชนะนั้นใส่เกลือไปลงทะเลหวังจะได้เกลือเพิ่ม
ถ้าพบหุ้นที่ดีจริงๆ แล้วเอาปันผลที่ได้ มาลงทุนต่อเนื่องไป จากเงิน 5 แสรก็สามารถกลายเป็น 5 ล้านในระยะยาวได้
และเงินลงทุนก้อนนี้หากรู้จักใช้ สามารถเลี้ยงชีวิตได้ไปตลอดหลังเกษียณได้ไม่ยาก
เพราะเราไม่ได้ขายทันที 5 ล้าน แต่ทยอยขาย หุ้นที่เหลือมูลค่าปีต่อไปก็จะเพิ่มขึ้นเพราะการเติบโตธุรกิจ
ชีวิตหลังเกษียณไม่ควรมานั่งเฝ้าราคาหุ้น แต่ควรเป็นช่วงใช้เงิน แต่ไม่ใช่หาเงินใส่ธนาคารมากๆ
แล้วมาฝากเบิกเงินตอนหลังเกษียณ ทั้งที่ลงทุนเราะรู้ว่าฝากเงินไม่คุ้ม
ดังนั้นคนลงทุนเป็น วัดกันตอยปลายทางของชีวิต ไม่ใช่วันนี้พอร์ตโตเท่าไร
ต้องถามว่าตอนหลังเกษียณแล้ว จะมานั่งเฝ้าราคาหุ้นซื้อขายอยู่ไหม วันหลังเกษียณมีหุ้นอะไรในมือนี่แหละสำคัญกว่า
วันนี้ต้องถามตนเองว่หุ้นในมือที่มี ตัวไหนมั่นใจถือได้มากกว่า 10 ปี บ้าง เราอาจมีทั้งหุ้นเทรด หุ้นเล่นรอบ และอาจหุ้นที่ถือยาวแบบนั้นด้วย
เมื่ออายุมากขึ้นในพอร์ตก็ต้องมีหุ้นเพื่อหลังเกษียณให้มากที่สุดหรือทั้งหมด
ถ้ามีแต่หุ้นเทรด หุ้นเล่นรอบ หลังเกษียณก็ยังต้องเฝ้าจอทั้งวันการเลือกหุ้นเพื่อถือได้หลังเกษียณนั้นต้องแบบโตมั่นคง
โตแกร่ง (Stalwarts or Strong growers) เท่านั้น
หุ้นเหล่านี้ต้องมีความแข็งแกร่งทั้งเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ เชิงปริมาณคือการพิจารณาจากงบการ
จากอัตราส่วนการเงินต่างๆ ซึ่งได้เคยกล่าวว่าดูอะไรบ้าง และต้องดูงบมายาวๆ
หลายปีต่อเนื่องไม่ใช่ไตรมาส ถ้ารายปียาวๆ บ่งชี้ว่าเชิงปริมาณดีมาโดยสม่ำเสมอ เราก็มั่นใจได้ระดับหนึ่งแล้ว
การวิเคราะห์เชิงคุณภาพเป็นเครื่องยืนยันการเติบโตอย่างมั่นคง
แข็งแกร่ง การวิคราะห์เชิงคุณภาพ ไม่ใช่การมาวิเคราะห์ข่าวสารครับ
นั่นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นและอาจไม่ได้มีนัยต่อธุรกิจด้วยซ้ำ
ข่าวบางอย่างอาจเป็นเพียง sentiment เท่านั้น เช่นบริษัทได้งานก่อสร้าง
รายได้นั้นก็เพียงรายได้ที่จะทยอยรับรู้ในช่วงสัญญา พอสัญญาจบรายได้ก็จบ
ไม่ใช่จะมารายได้นั้นต่อไป ต้องขวนขวายหาต่อไป ถ้าพึ่งโครงการรัฐมาก ก็ต้องอาศัยคอนเน็คชั่นเฉพาะคนมากและยังขึ้นกับความสามารถบริหารโครงการด้วยว่าควบคุมค่าใช้จ่ายดีไหม
เป็นต้น การวิเคราะห์เชิงคุณภาพ นั้นควรมุ่งมองระยะยาว และควรสอดคล้องกับเชิงปริมาณ
การวิเคราะห์เชิงคุณภาพให้เห็นภาพได้ครอบคลุมนั้นควรใช้ 5 Forces, Business
Model, Moats และ Entrprise Risk Management (LEPESTO) ทั้งสี่แนวทางจะทำให้เราเห็นภาพเชิงคุณภาพทั้งในอุตสาหกรรมที่ธุรกิจนั้นอยู่
จุดได้เปรียบเสียเปรียบทางธุรกิจ เห็นว่าอะไรคือ ความได้เปรียบที่ยั่งยืน (Durable
Competitive Advantage or Sustainable Competitive Advantage) เพราะสิ่งนี้คือสิ่งช่วยยืนยันการรักษาอัตราส่วนการเงินต่างๆ
ให้เกิดความผันผวนน้อย ซึ่งความผันผวนนี้เอง
คือคาวมเสี่ยงทางการเงิน อัตราส่วนการเงินต่างๆ ให้เกิดความผันผวนได้เพราะธุรกิจมีความเสี่ยง
เช่นยอดขายที่เดี๋ยวขึ้น เดี๋ยวลง ก็กระทบ Assets Turnover (AT) ราคาขายและต้นทุนวัถตถุดิบ ก็กระทบ GM (GrosMargin กำไรขั้นต้น)
การขาดการควบคุมบริหารที่ดีก็กระทบถึง OM (Operating Margin) โครงสร้างการเงินไม่ดีไม่นิ่ง ก็กระทบ D/E กระทบถึงกำไสสุพธ
นั่นคืออัตรากำไรสุทธิ NM (Net Margin) ซึ่งความเสี่ยงที่มากระทบนี้
ตรวจสอบด้วยการพิจารณา LEPESTO
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น