วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

การวิเคราะห์ผลทางธุรกรรมส่วนของผู้ถือหุ้น เพิ่มทุน ลดทุน ซื้อหุ้นคืน

ความรู้ทางการเงิน การลงทุน และการบัญชี (23/02/59)
การวิเคราะห์ผลทางธุรกรรมส่วนของผู้ถือหุ้น เพิ่มทุน ลดทุน ซื้อหุ้นคืน
ในด้านการวิเคราะห์กี่ยวกับส่วนของผู้ถือหุ้น มีธุรกรรมเกิดได้หลากหลายรูปแบบ แต่ที่พบในงบการเงินมีธุรกรรมหลักๆ ที่เห็นกันมาก และควรเข้าใจผลกระทบทางด้านการเงินของธุรกิจ ไม่ใช่เพียงผลด้านที่มีต่อผู้ถือหุ้นเท่านั้น เพื่อให้มองภาพเหล่านี้ นักลงทุนควรตั้งต้นจากสมการบัญชีเป็นหลัก จะเห็นภาพและเข้าใจผลกระทบที่เกิดได้ดีกว่า เข้าใจว่าวิธีการทางบัญชีไปมาอย่างไร (กปป. = การเปลี่ยนแปลง)
  กปป.สินทรัพย์  = กปป. หนี้สิน +  กปป ทุน

1 การลดทุนโดยการตัดขาดทุนสะสมกับหุ้นทุน ส่วนผู้ถือหุ้นรวมไม่กระทบ เพราะขาดทุนสะสมก็นำมาหักลดส่วนผู้ถือหุ้นอยู่แล้ว ข้อเสียคือ หุ้นเราหายไปแน่นอน ข้อดีคือ ถ้าปีหน้ามีกำไรจะจ่ายปันผลได้ เพราะถ้ามีขาดทุนสะสมอยู่ต้องเอากำไรไปล้างให้หมดก่อน จึงจ่ายปันผลได้ หลายบริษัทที่ลดทุนเพราะเมื่อปรับโครงสร้างหนี้ นักลงทุนใหม่จะมา เขาไม่มาแบกขาดทุนสะสมหลายๆปีหรอก เขาเข้ามาแล้วถ้ามีกำไร เขาต้องได้ผลอบแทนคืน
  กปป.สินทรัพย์  = 0   ไม่ต้องจ่ายเงินสดหรือได้รับเงินสด หรือการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ใดๆ
  กปป.หนี้สิน      = 0    ไม่มีการจ่ายชำระหนี้สินใดๆ หรือเพิ่ม/ลดหนี้สิน
  กปป ทุน           = 0      ส่วนของหุ้นทุนลดลง เท่ากับส่วนของขาดทุนสะสมที่ลดลงในจำนวนเท่าๆกัน
ดังนั้นจากสมการบัญชีจึงสรุปได้ว่า ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงในมูลค่าอย่างใดในงบการแสดงฐานะการเงิน เพียงแต่ผลภายในส่วนของทุนเท่านั้น ดังนั้น BV เท่าดิมแต่ทุนลดลงเท่ากับขาดทุนที่ลดลง นั่นคือหุ้นหายไป ข้อดีอย่างที่กล่าวคือจ่ายปันผลได้เร็วขึ้น การจ่ายปันผล ในทางกฎหมาย จ่ายได้เมื่อ 1.ปีนั้นต้องมีกำไร  2.บริษัทต้องไม่มีขาดทุนสะสม และทุกครั้งที่จ่ายปันผลต้องตั้งสำรองรองอย่างน้อย 5% จนกว่าสำรองตามกฎหมายและส่วนเกินทุน(ถ้ามี) รวมกันมากกว่า 10% ของทุนจดทะเบียนก็ให้หยุดสำรองได้หรือไม่ต้องสำรองต่อได้ ส่วนมากบริษัททีมีปัญหาขาดทุนสะสมมาก จะตัดลดส่วนเกินทุนก่อน แล้วจึงมาลดหุ้นทุนเป็นลำดับต่อไป

2 การเพิ่มทุน บริษัทได้เม็ดเงินเข้าบริษัท แต่ก็จะเกิด dilution effect คือ กำไรต่อหุ้นจะปรับลดลงเพราะจำนวนหุ้นเพิ่มขึ้น ถ้าบริษัททำกำไรเพิ่มได้มากพอกับหุ้นที่เพิ่มก็จะไม่เกิด dilute มาก ดังนั้นถ้ารักษา ROE ได้ก็ไม่กระทบ ดังนั้นถ้าบริษัทประกาศเพิ่มทุน ไม่ว่า PO (public offering ขายให้คนทั่วไป แต่ไม่ใช่การขายครั้งแรก-IPO)  PP (private placement-ขายนักลงทุนอื่นแบบเฉพาะเจาะจง) หรือ ขึ้น XR ขายกับผู้ถือหุ้นเดิม หลักวิเคราะห์ ได้เงินรวมไปเท่าไร กี่พันล้านบาท เอาไปใช้ทำอะไร ลงทุนขยายงานอะไร กำไรที่ได้เพิ่มขึ้นเป็นเท่าไรเทียบกับเงินที่เอาไป ใช้หลักคล้ายๆกับเรื่องตัดสินใจ capital expenditure ถ้า return on investment > ROCE อันนี้ดี
ในด้านบัญชี งบการเงิน ณ วันที่เพิ่มทุนเป็นดังนี้
  กปป.สินทรัพย์  = x   ได้เงินสดเพิ่มขึ้นเท่าเม็ดเงินที่เพิ่มทุน เช่น เพิ่มทุน 1,000 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 3 บาท รวมได้เงินมา 3,000 ล้านบาท
  กปป.หนี้สิน      = 0    ไม่มีการจ่ายชำระหนี้สินใดๆ หรือเพิ่ม/ลดหนี้สิน
  กปป ทุน           = x     ส่วนของหุ้นทุนเพิ่มขึ้น โดยส่วนที่เพิ่มจะเพิ่มในสองส่วนคือ ทุนที่เรียกชำระแล้ว ส่วนนี้จะเพิ่มเท่ากับเม็ดหุ้นคูณกับราคาพาร์ และส่วนที่เหลือ (3,000-หุ้นทุนที่เพิ่มตามราคาพาร์) จะเพิ่มในส่วนเกินมูลค่าหุ้น สมมติราคารพาร์เท่ากับ 1 บาทต่อหุ้น กปป ทุน  = 1,000 + 2,000    
   กปป.สินทรัพย์  =  กปป. หนี้สิน +  กปป ทุน
        3,000            =        0             +  1,000   +2,000 
แต่หลังจากนั้นเมื่อมีกำไร ตัวหารกำไรคือจำนวนหุ้นจะเพิ่มขึ้นดังนั้นกำไรที่เพิ่มขึ้นไม่เพิ่มเท่าส่วนหุ้นที่เพิ่ม หรือควรไม่น้อยกว่า % ของจำนวนหุ้นที่เพิ่ม จึงไม่เกิด dilution ของกำไรต่อหุ้น เช่นดังตัวอย่างเดิม ก่อนเพิ่มทุนมีหุ้นอยู่แล้ว 2,000 ล้านหุ้น ปีที่แล้วมีกำไร 3,600 ล้านบาท สมมติเพิ่มทุนต้นปีพอดี ปีถัดมาเพิ่มทุนตามตัวอย่างข้างต้น 1,000 ล้านหุนราคาหันละ 3 บาท จะต้องใช้จำนวนหุ้น= (2,000+1,000) หารกำไร ปีที่แล้ว EPS เดิม = 3,600/2,000 = 1.80 บาท จำวนหุ้นเพิ่มขึ้น 1,000 ล้านหุ้น เกิด dilution หรือ dilutive effect = 1,000/(2,000+1000) = 1/3 ถ้ากำไรเท่าเดิม EPS จะลดลงเหลือ 1.20 บาท แต่ถ้าจะให้มี EPS เท่าเดิม ต้องมีกำไรเท่ากับ 3,600 / (1-1/3) = 3,600*3/2 = 5,400  EPS จึงจะได้ 5,400/3,000 = 1.80 เท่าเดิม สามารถสรุปเป็นสูตรได้ดังนี้
Dilutive effect (Dilution) =  จำนวนหุ้นใหม่ (x) / (จำนวนหุ้นเดิม y +  จำนวนหุ้นใหม่ x ) = x /(y+x)
อัตราเพิ่มของกำไรที่จะไม่เกิด dilution = 1/(1-%dilute)

ตย. บริษัทประกาศเพิ่มทุน 5:3  ผู้ถือหุ้นเดิม 5 หุ้นจะสามารถซื้อหุ้นใหม่ได้ 3 หุ้นที่ราคาพาร์ 10 บาท
Dilutive effect (Dilution) =  3/(5+3) =  3/8  => 37.5%
ปีหน้าบริษัทต้องมีกำไรเพิ่ม = 1 /(1-37.5%) = 1/(1-.375) = 1/0.625 = 1.6 หรือเพิ่มขึ้น 60% ก็จะไม่เกิด dilution
ถ้าบริษัทปีนี้มีมีกำไร 6,510 ลบ.  EPS  =  1.24 (หุ้นเดิม 5,250 ล.หุ้น)
ปีหน้าต้องมีกำไร 6,510 x 1.6 = 10,416 ลบ. (หุ้นใหม่หลังเพิ่มทุน 8,400 ล.หุ้น) EPS (fully diluted)  จึงได้ 1.24
หมายความว่าถ้าเดิมราคาหุ้นอยู่ที่ 20 บาท   P/E = 16.13
หากราคาจะกลับมาที่เดิม 20 บาท ระดับ P/E เดิมที่ 16.13 ต้องมีกำไรเพิ่ม 60%

แต่เนื่องจาก การเพิ่มทุนมักเป็นการให้สิทธิผู้ถือหุ้นเดิม (XR Right Issue) ดังนั้นต้นทุนเฉลี่ยราคา trade ในกระดานจะปรับไปด้วย จากตัวอย่างเดิม ประกาศเพิ่มทุน 5:3  ผู้ถือหุ้นเดิม 5 หุ้นจะสามารถซื้อหุ้นใหม่ได้ 3 หุ้นที่ราคาพาร์ 10 บาท
ราคาหุ้นใหม่  =  (หุ้นเดิม x ราคาเดิมก่อนเพิ่มทุน + หุ้นใหม่ X ราคาเพิ่มทุน) / (หุ้นเดิม +หุ้นใหม่) 
                      =  (5x20+ 3x10) / (5+3) = 16.25
เท่ากับ P/E ใหม่เป็น 16.25/1.24 = 13.10 ดูคล้ายกับ P/E ลดลง ซึ่งไม่ใช่เราต้องคำนวณใหม่ ใช้หุ้นรวมใหม่จาก 5,250 ล.หุ้น เป็น 8,400 ล.หุ้น จะได้ EPS (fully dilute) เป็น 0.775 บาท P/E ใหม่หลังเพิ่มทุนจะเท่ากับ 16.25/0.775 =  20.96  เพิ่มขึ้นจากเดิมที่ P/E = 16.13 หากตลาดเป็น EMH (Efficiency Market Hypothesis) แล้ว
ถ้าปีหน้ากำไรเพิ่ม 30.3% EPS (fully dilute) เป็น 1.007 ราคาหุ้นจะกลับมาที่ P/E = 16.13 ที่ราคา 16.25 และถ้าจะกลับไปที่ 20 บาทใหม่ที่ P/E = 16.13 ต้องมี EPS ที่ 1.24 กำไรยังคงต้องเพิ่มขึ้น 60% เช่นเดิม

จะเห็นว่าการเพิ่มทุนนั้นหากเราเป็นผู้ถือหุ้นเดิมควรต้องใช้สิทธิเพิ่มทุนเท่านั้นจึงกดดันน้อยกว่าการไม่จ่ายหุ้นเพิ่มทุน หากจะซื้อหุ้นโดยไม่อยากเพิ่มทุนควรต้องรอ เพราะอัตราส่วนหุ้นเดิม : หุ้นใหม่และราคาเพิ่มทุน มีผลต่อการปรับลดราคาต้นทุนในกระดานและอัตรากำไรที่ต้องเพิ่มขึ้น เพราะกำไรต้องเพิ่มไม่น้อยกว่า EPS ที่ต้องปรับขึ้นเพราะการเพิ่มทุน (จากตัวอย่างกำไรปีหน้าถ้าเพิ่ม 29.9% P/E จะลดลงจาก 20.96 เป็น 16.13 ราคาจึงเท่าทุน ถ้าจะมีกำไรพิ่มมากกว่านี้ราคาหุ้นจึงจะขึ้นด้วยระดับ P/E เดิม)

ถ้าจ่ายหุ้นปันผล ราคาหุ้นใหม่ คือ 0 บาท จ่ายหุ้นปันผลในอัตรา 8 หุ้นเดิมได้ 1 หุ้นปันผล ราคาปัจจุบัน 30 บาท
ราคาใหม่จะเท่ากับ  (8x30 + 0x1) / (8+1) = 240 / 9 = 26.67 บาท

หากคิดจะลงทุนหุ้นเพิ่มทุนต้องคำนวณเป็นจะได้เข้าใจว่าราคา ณ ตอนนี้ซื้อได้หรือไม่

3 การซื้อหุ้นคืน Treasury stock เป็นการสร้างผลตอบแทนให้กิจการแบบหนึ่งแทนที่จะเอาเงินจ่ายปันผล ก็เอามาซื้อหุ้นออกมาจากตลาดเข้าบริษัท วิธีนี้ไม่ใช่การลดทุน เพราะผู้ถือหุ้นไม่เสียหาย เพียงแต่บริษัทเอาหุ้นบางส่วนคืนจากนักลงทุนที่ไม่อยากลงทุนในบริษัทต่อไป แทนที่จะขายทิ้ง (กดราคา) บริษัทรับซื้อกลับ ทำให้จำนวนหุ้นลดลง EPS จะสูงขึ้น (ถ้ากำไรไม่ลดลง) ถ้าระดับ P/E คงเดิม ราคาหุ้นจะเพิ่มขึ้น นักลงทุนก็เปลี่ยนจากหุ้นบางส่วนเป็นเงินได้ (วิธีนี้ช่วยบริหารภาษีให้ผู้ถือหุ้นด้วย) การซื้อหุ้นคืน ส่วนเจ้าของจะลดลงจากหุ้นซื้อคืน ROE จะเพิ่มขึ้น

การที่บริษัทซื้อหุ้นคืนนั้น มองในภาพใหญ่ก็คือ หุ้นที่เหลืออยู่จะมีจำนวนน้อยลง ดังนั้นส่วนแบ่งกำไรของผู้ถือหุ้นแต่ละหุ้นก็จะมากขึ้น ซึ่งราคาหุ้นก็จะสูงขึ้นได้ ผู้ถือหุ้นอยู่ก็จะได้ประโยชน์จากการเพิ่มขึ้นของราคา มองอีกด้านหนึ่ง การซื้อหุ้นคืนนั้น อาจจะเหมือนกับว่าผู้ถือหุ้นบริษัทเห็นว่าหุ้นของบริษัทมีราคาถูกมากอยากจะซื้อหุ้นเพิ่มแต่ไม่มีเงินแล้วหรือคิดว่าไม่อยากจะเสี่ยงเพิ่มอีก แต่ว่าตัวบริษัทเองนั้นมีเงินอยู่ ผู้ถือหุ้นในฐานะที่เป็นเจ้าของบริษัทจึงคิดว่าเราน่าจะใช้เงินบริษัทเข้าไปซื้อหุ้นแทน และถ้าผู้บริหารบริษัทเองก็เห็นพ้องต้องกันว่าหุ้นของบริษัทนั้นมีราคาถูกเกินไปจริง ๆ เมื่อเทียบกับพื้นฐานของบริษัท การซื้อหุ้นบริษัทคืนก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีและความเสี่ยงน่าจะมีจำกัด และนี่ก็คือที่มาของการที่บริษัทจะซื้อหุ้นของตนเองคืนจากตลาดหุ้น

โดยการซื้อหุ้นคืนใน "บางครั้ง" จะเกิดขึ้นเมื่อผู้ถือหุ้นบริษัทเห็นว่าหุ้นของบริษัทมีราคาถูกมาก หรือต่ำกว่าพื้นฐานที่ควรจะเป็นเลยอยากจะซื้อหุ้นเพิ่มแต่ไม่มีเงินแล้วหรือไม่อยากจะเสี่ยงเพิ่มอีก แต่ว่าตัวบริษัทเองนั้นมีเงินอยู่ ผู้ถือหุ้นในฐานะที่เป็นเจ้าของบริษัทจึงคิดว่าน่าจะใช้เงินบริษัทเข้าไปซื้อหุ้นแทน ในการประชุมผู้ถือหุ้นจึงมีมติให้มีการซ้อหุ้นคืน

บริษัทที่ทำการซื้อหุ้นคืนควรมีกำไรสะสมและสภาพคล่องทางการเงินสูง ผลของการซื้อหุ้นคืน ทำให้จำนวนหุ้นลดลง และ EPS เพิ่มขึ้นอีกด้วย

ในด้านบัญชีวิเคราะห์จากสมการบัญชีดั้งนี้
กปป.สินทรัพย์  = กปป. หนี้สิน +  กปป ทุน
การซื้อหุ้นคืน เงินสดลดลง และส่วนทุนลดลง เท่าๆกันเช่น บริษัทมีสินทรัพย์ หนี้สิน และทุน ดังนี้
ส/ท 1,000        =      น/ส 500   +  ทุน 500
ซื้อหุ้นคืน 200 ลบ (งบการเงินจะแสดงหุ้นซื้อคืนเป็นลบในส่วนของผ้ถือหุ้น)
ส/ท 1,000 -200  =  น/ส 500 + ทุน (500-200)
ส/ท 800  =  น/ส 500 + ทุน 300
จะเห็นว่าส่วนของเจ้าของลดลง ถ้ากำไรเท่าเดิม ROE จะเพิ่มขึ้น EPS ก็จะเพิ่มขึ้นจากจำนวนหุ้นที่ลดลง

ในด้านตลาดทุนเหมือนดี เพราะ Investors ดูจะได้ประโยชน์ แต่ลองมาดูในด้านอื่นๆ และ Corporate financial management อีกมุมหนึ่งของตลาดทุนต้องพิจารณาว่าผู้บริหารกำลังส่งสัญญาณว่า
1. ราคาหุ้นถูกเกินไป หรือ ราคาต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน หรือ
2. ไม่มีโครงการใหม่ที่ลงทุนแล้วได้ผลตอบแทนสูงกว่าต้นทุนเงินทุนของบริษัท บริษัทจึงเอาเงินไปลงทุนในหุ้นตนเองแทน เพราะการลงทุนซื้อหุ้นตนเองได้ผลตอบแทนเท่ากับ ROE ดีกว่าทำโคงการใหม่ ปกติกิจการจะลงทุนเมื่อผลตอบแทนโครงการ IRR > WACC เพราะการลงทุนในโครงการที่ได้ผลตอบแทน > WACC จะทำให้เพิ่มมูลค่ากิจการ (Maximize shareholders’ value) ทางเลือกที่ถูกต้องคือเอาเงินไปลงในโครงการที่ได้ผลตอบแทน > WACC หากกิจการเอาเงินมาซื้อหุ้นตัวเองแสดงว่า ไม่มีโครงการลงทุนใหม่ที่น่าสนใจและให้ผลตอบแทนดีกว่าเดิม และจากสมการบัญชีพบว่าการซื้อหุ้นคืนทำให้กิจการลดขนาดลง นั่นคือกำลังจะ down sizing ตนเองลงอุตสาหกรรมกำลังชะลอตัวหรือหดตัวลงใช่หรือไม่

การซื้อหุ้นคืนทำให้ ROE สูงขึ้นก็จริง แต่ D/E ก็สูงขึ้นด้วย ค่า D/E ที่เพิ่มขึ้นหมายถึง ความเสี่ยงเพิ่มขึ้น หมายความว่า ต้นทุนเงินทุนเพิ่มขึ้น และทำให้ expected return ของหุ้นทุนสูงขึ้นด้วยเช่นกัน ดังนั้นการเพิ่มขึ้นของ ROE ไม่ได้สะท้อนว่าราคาหุ้นต้องขึ้นในระยะยาว เพราะเมื่อต้นทุน Cost of Capital เพิ่ม Expected Return หรือ Discount rate ใน DCF Model สูงขึ้น มูลค่ารวมจะลดลง เพียงแต่จำนวนหุ้นลดลงมากกว่า ทำให้เมื่อหารให้เป็นราคาต่อหุ้นดูสูงขึ้นดังนั้นในทางทฤษฎีแล้ว การซื้อหุ้นคืนจึงไม่ใช่การ  Maximize shareholders’ value แต่เพียงผลทางจิตวิทยาตลาดทุนที่ทำให้หุ้นขึ้นเท่านั้นแต่ไม่เกิด value addedโดยรวมในด้าน corporate financial management
บริษัทส่วนมาก ทำด้วยเหตุผลที่อยากจะให้ราคาหุ้นของตนเองเพิ่มขึ้น เพราะคิดว่าแรงซื้อจากบริษัทจะทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น พูดง่ายๆ คือปั่นหุ้นตนเอง

ในทฤษฎีการเงินเรื่อง capital structure ต้นทุนหุ้นทุนจะผันแปรโดยตรงกับ D/E เมื่อ
rk   =  ผลตอบแทนหุ้นทุนที่ มี  Leverage ที่ D/E
r0  =   ผลตอบแทนหุ้นทุนที่ ไม่มี  Leverage หรือที่ D/E = 0
rd  =   ผลตอบแทนหุ้นกู้หรือต้นทุนเงินกู้
          rk   =   r0  +  (D/E) * (r0  - rd)

ถ้าพิจารณาที่เบต้า ซึ่งใช้วัดความเสี่ยงเมื่อ D/E เพิ่ม (ไม่ว่าจะจากการก่อหนี้เพิ่มหรือการซื้อหุ้นคืนก็ตาม) ต้นทุนหรือ Required rate of return of  Equity ย่อมเพิ่มขึ้นด้วยเสมอ  

ดังนั้นเมื่อบริษัทซี้อหุ้นคืนผลระยะยาวทางการเงินที่ตามมาต้องไม่ลืมคือ Risk เพิ่ม Return ที่ต้องการจะเพิ่มขึ้นตาม

4 การจ่ายหุ้นปันผล คล้ายๆกับ การซื้อหุ้นคืนคือแทนที่จะเอาเงินจ่ายปันผล ก็จ่ายเป็นหุ้นแทน ส่วนใหญ่บริษัทมีกำไรมากและอยากเก็บเงินสสดไว้ใช้ดำเนินงาน ก็จ่ายเป็นหุ้นแทน ให้ผู้ถือหุ้นไปเอาเงินสดจากตลาดแทน หรือใครจะถือต่อก็ได้ การจ่ายหุ้นปันผลไม่กระทบกับส่วนเจ้าของ เพราะย้ายกำไรสะสมขึ้นไปเป็นเป็นหุ้นทุน แต่ผลกระทบคือ เม็ดหุ้นมากขึ้น อาจเกิด dilution effect ได้ แม้จะทำกำไรเท่าเดิม ROE เท่าเดิม แต่โดยรวมๆ wealth ของนักลงทุนคงที่ที่ระดับ P/E นั้น เพราะ EPS ลดลง Price ลดลง แต่จำนวนหุ้นเพิ่มขึ้นชดเชยแทน

จะเห็นว่าแค่ทุน ยังมีวิธีการมากมายในการบริหาร ทุกการกระทำล้วนต้องมีหลักการและเหตุผลที่ดี หลายบริษัท เดี๋ยวซื้อหุ้นคืนกลับ นัยหนึ่งที่ควรพิจารณาคือ การซื้อคืน แสดงว่า เหลือเงิน ไม่มี project ใหม่ขยายออกไปแล้ว หรือโครงการใหม่ๆ มีผลตอบแทนน้อยกว่า existing project เพราะถ้ามีทำไมไม่ลงทุนให้เราเพื่อเพิ่มกำไร ทางทฤษฎีการเงิน แสดงว่ากิจการเข้าสู่วงจรชะลอตัวถึงถดถอย คล้ายๆ กับบริษัทที่จ่ายอัตราปันผลมากๆ 60-70% หรือ อาจเกือบ 100% แสดงว่าการเอาเงินไป reinvest หรือไม่มีโครงการที่สร้างผลกำไรเพิ่มได้ การซื้อหุ้นคืนกลับย่อมไม่ช่เรื่องดีนัก เพราะด้านหนึ่ง กิจการแต่ง ROE ด้วย

ส่วนการจ่ายหุ้นปันผล มี 2 นัย คือ กิจการไม่มีเงินสดมากพอ ก่อหนี้ก็ไม่ไหว ในมุมหนึ่งคือมีเงินแต่กิจการเห็นโอกาสลงทุนในโครงการใหม่ว่าให้ประโยชน์มากกว่า (ROCI) หากเป็นเช่นนั้นไม่จ่ายปันผลเลยก็ได้ เพราะการจ่ายหุ้นปันผลทำให้ EPS เกิด dilute ถ้ากำไรไม่มากพอกับหุ้นที่เพิ่มจะทำให้ราคาหุ้นลดลง

หลักสำคัญในการพิจารณาว่าจ่ายหุ้นปันผลดีหรือไม่คือ อุตราการจ่านหุ้นปันผลย่อมทำไห้เกิด dilution ถ้ากำไรสามารถเพิ่มมากกว่าการเกิด dilution ถือว่าการจ่ายหุ้นปันผบมีเหตุผลที่ดีหรือเหมาะสม

5 การแปลงหนี้เป็นทุน มักเกิดในภาวะที่กิจการมีหนี้มากๆ และชำระหนี้ไม่ได้ เจ้าหนี้เองก็มักไม่อยากให้กิจการล้มละลาย เพระยึดทรัพย์ขายทอดตลาดอาจไม่คุ้มมูลหนี้ เจ้าหนี้มักคาดว่ากิจการน่าจะไปได้หากมีการบริหารจัดการที่ดี พียงแค่ควบคุมดูแลให้ดีด้วยโครงสร้างผู้บริหารใหม่ที่เจ้าหนี้ไว้วางใจ เจ้าหนี้ก็อาจเปลี่ยนตนเองจากคนปล่อยกู้มาเป็นผู้ถือหุ้นแทน กรณีเช่นนี้มักเกิดจากการปรับโครงสร้างหนี้ ตัวอย่าง
ส/ท  1,000   =  น/ส 900  + ทุน 100   มีหนี้มาก  มี  D/E ถึง 9 เท่า
เจ้าหนี้เงินกู้สามารถแปลงหนี้ทั้งหมด หรือบางส่วนก็ได้แล้วแต่ตกลงจากการปรับโครงสร้างหนี้ สมมติแปลงหนี้เป็นทุน 600 โครงสร้างใหม่เป็นดังนี้
ส/ท  1,000   =  น/ส 300  + ทุน 700 
ด้านสินทรัพย์ไม่เปลี่ยนแปลง แต่หนี้ลด ทุนเพิ่ม วิธีนี้ผู้ถือหุนเดิมจะลดสัดส่วนการควบคุมกิจการลง จากเดิม 100% เหลือ 14.3% ถ้ากรณีดังกล่าวเกิดในบริษัทลูกมีการปรับโครงสร้างหนี้ บริษัทแม่ไม่กระทบใดๆ เว้นแต่สถานะลงทุนในลูกอาจเปลี่ยนไปจากบริษัมย่อยกลายเป็นร่วมหรือเงินลงทุนทั่วไป ขึ้นกับสัดส่วนลงทุนลดลงไปเท่าใด

ภาษีเงินได้ของบริษัทติดลบ หมายถึงอะไร สินทรัพย์และหนี้สินภาษีเงินได้รอตัดบัญชี


ความรู้ทางการเงิน การลงทุน และการบัญชี (23/02/59)

ภาษีเงินได้ของบริษัทติดลบ หมายถึงอะไร สินทรัพย์และหนี้สินภาษีเงินได้รอตัดบัญชี

ช่วงนี้งบการเงินบริษัทในตลาดฯ ได้มีการทยอยออกมาแล้ว บางบริษัทแสดงภาษีเป็นค่าใช้จ่ายติดลบหรือบวกกลับกำไร บางคนเลยคิดว่าได้เงินคืนจากสรรพกรหรือเปล่า ไม่ใช่ครับ ภาษีนิติบุคคลไม่เหมือนบุคคลธรรมดาครับที่มีการคืนภาษีแบบที่เข้าใจ คืนได้เหมือนกัน เช่น กรณี กลางปี ที่มีการยื่นภาษี ภงด ๕๑ สูงกว่าสิ้นปีที่ต้องจ่ายจริง หรือยื่นรายการภาษีผิดสูงเกินจริงและจ่ายไปแล้ว หรือถูกหักณที่จ่ายสูงกว่าที่ควรจ่าย ทุกกรณีที่ขอคืนคือต้องจ่ายไปให้สรรพกรแล้วเท่านั้น จะไปขอคืนมาเฉยๆ ไม่ได้ครับ กรณีบุคคลธรรมดาขอคืนได้ เพราะถูกหัก ณ ที่จ่ายไปแล้ว ส่วนกรณจ่ายปันผลแล้วได้เครดิตภาษีคืน เพราะบริษัทที่จ่ายเงินปันผลจากกำไร ได้เสียภาษีจากกำไรในธุรกิจไปแล้ว เมื่อเราเอากำไรเงินปันผลมารวมคำนวณรายได้ จึงนำเครดิตภาษีเงินปันผลมามาบวกและหักกลับออกทั้งจำนวนในการคำนวณ รายละเอียดผมไม่กล่าวนะครับ เพราะตั้งในเขียนเรื่องภาษนิติบุคคลป็นลบ บวกกำไรสำหรับบริษัทในตลาดฯ



ดังนั้นหลักง่ายๆคือถ้ายังไม่มีจ่ายให้สรรพกร ไม่ได้คืนครับ ถ้านิติบุคตคลขาดทุนทางภาษีให้เอาผลขาดทุนยกไปใช้เป็นค่าใช้จ่ายได้ภายในห้าปี ถือเป็นผลประโยชน์ทางภาษี แต่สรรพกรไม่ได้คืนเงินตรงๆ เพระยังไม่จ่ายให้รัฐเลย

 ในทางบัญชีเราจะพบรายการบัญชี สินทรัพย์ภาษีเงินได้รอตัด และหนี้สินภาษีเงินได้รอตัด ในสินทรัพย์และหนี้สินของงบแสดงฐานะการเงิน บางคนสงสัยและพยายามกระทบยอดว่ามาจากอะไร ไม่ต้องกระทบยอดครับไม่รู้รายละเอียดทางบัญชี ทำได้ยาก ในฐานะนักลงทุนเข้าใจง่ายๆ คือรายการรอตัดภาษีเดิดขึ้นเพราะผลต่างเวลาจากการคำนวณกำไรทางบัญชีและทางภาษีมีข้อแตกต่างกัน เช่นการตัดหนี้สงสัยจะสูญ ทางบัญชีบอกว่าเป็นค่าใช้จ่ายงวดนี้ แต่ภาษีบอกยังไม่ถือเป็นค่าใช้จ่ายจนกว่าจะเข้าหลักเกณฑ์ทางภาษี ทำให้กำไรทางบัญชีแสดงมากกว่ากำไรที่ยื่นเสียภาษี เช่น กำไรบัญชี 100 แต่กำไรภาษี 120 บัญชีแสดงค่าใช้จ่ายภาษี 20 (tax rate = 20%)  แต่ยื่นภาษีจ่ายสรรพกร 24 ทางบัญชีจะลงรายการบัญชีดังนี้

เดบิต ค่าใช้จ่ายภาษี_____________20

เดบิต สินทรัพย์ภาษีเงินได้รอตัด___4

เครดิต เงินสด_________________24



สมมติปีหน้ากำไรเท่าเดิม (ไม่มีหนี้สูญแล้ว กำไรจะเท่ากับ 120) และลูกหนี้ ทางภาษีถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายได้ ทางบัญชีจะลงรายการดังนี้

เดบิต ค่าใช้จ่ายภาษี_____________24

เครดิต สินทรัพย์ภาษีเงินได้รอตัด___4

เครดิต เงินสด__________________20

จ่ายภาษีเป็นเงินสดน้อยลง ค่าใช้จ่ายมากขึ้น ถ้ามองถึงนิยามและเข้าใจบัญชี สินทรัพย์คือทรัยากรในความควบคุม และสร่ฃ้างกระแสเงินสดในอนาคต สินทรัพย์บัญชีจะมีสองสักษณะคือพวกหนึ่งเปลี่ยนเป็นเงินสด เช่นลูกหนี้การค้า อกพวกหนึ่งหมดไปเปลี่ยนเป็นค่าใช้จ่าย เช่นสินค้า เมื่อขายออก เราได้ลูกหนี้จากการขาย สินค้าก็ถูกตัดออกเป็นค่าใช้จ่าย (ต้นทุนขาย) อาคารก็ทยอยลดมูลค่าโดยถูกตัดเป็นค่าใช้จ่าย (ค่าเสื่อมราคา) ดังนั้นค่าใช้จ่าย Expense = Expired Assets

ส่วนหนี้สินคือภาระที่กิจการต้องจ่ายหรือเสียทรัพยากรในอนาคต หนี้สินภาษีเงินได้รอตัดจะไม่เป็นค่าใช้จ่ายในอนาคต แต่กิจการต้องจ่ายสรรพกรเพิ่มในอนาคต โดยสรุปสินทรัพย์และหนี้สินภาษีเงินได้รอตัดบัญชี

- สินทรัพย์และหนี้สินภาษีเงินได้รอตัดบัญชีเกิดจาก กำไรทางบัญชีและภาษีต่างกัน

- นักลงทุนอย่างเราไม่ต้องไปสนใจมากว่าคำนวณอย่างไร นั่นเป็นเรื่องที่นักบัญชีต้องรู้รายละเอียด   

- เราแค่เข้าใจภาพใหญ่ก็พอ

- สินทรัพย์ภาษีเงินได้รอตัดบัญชี เกิดเมื่อจ่ายภาษี > ค่าใช้จ่ายภาษีทางบัญชี

- หนี้สินภาษีเงินได้รอตัดบัญชี เกิดเมื่อจ่ายภาษี < ค่าใช้จ่ายภาษีทางบัญชี

- จ่ายภาษี = เงินสดที่ต้องจ่ายให้สรรพกรตามการคำนวณในประมวลรัษฎากร

- ค่าใช้จ่ายภาษีทางบัญชี = กำไร (ขาดทุน) x อัตราภาษีเงินได้

- สินทรัพย์ภาษีเงินได้รอตัดบัญชี เกิดเมื่อจ่ายภาษี > ค่าใช้จ่ายภาษีทางบัญชี ตย.

    เดบิต  ค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้_______________256

    เดบิต สินทรัพย์ภาษีเงินได้รอตัดบัญชี______104

    เครดิต   เงินสดจ่าย_____________________360

- ภาษีคำนวณแล้วต้องจ่าย 360 แต่กำไรจากงบฯ บันทึก 256 ส่วนต่างลงเป็น ส/ท

- ต่อมาปีหน้า สินทรัพย์ภาษีเงินได้ฯ ผลในอนาคต --- > ค่าใช้จ่ายภาษีมากขึ้นได้ แต่จ่ายเงินออกน้อยลง

    เดบิต ค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้_______________310

    เครดิต   เงินสดจ่าย____________________206

   เครดิต สินทรัพย์ภาษีเงินได้ฯ_____________104





- หนี้สินภาษีเงินได้รอตัดบัญชี เกิดเมื่อจ่ายภาษี < ค่าใช้จ่ายภาษีทางบัญชี ตย.

    เดบิต  ค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้_____________500

    เครดิต  เงินสดจ่าย____________________376

    เครดิต หนี้สินภาษีเงินได้รอตัดบัญชี______124

- ภาษีคำนวณแล้วต้องจ่าย 376 แต่กำไรจากงบฯ บันทึกค่าใช้จ่าย 500 ส่วนต่างลงเป็น น/ส

- หนี้สินภาษีเงินได้ฯ ผลในอนาคต --- > ค่าใช้จ่ายภาษีลดลงแต่จ่ายเงินออกมากขึ้น

  เดบิต  ค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้______________370

  เดบิต  หนี้สินภาษีเงินได้รอตัดบัญชี_______124

  เครดิต  เงินสดจ่าย____________________494



กรณีค่าใช้จ่ายภาษีติดลบ ตัวอย่าง SMPC งบปี 2558 งบรวมและงบเฉพาะ หน่วยพันบาท

กำไรก่อนภาษีเงินได้________________________414,236___________________346,317

ผลประโยชน์ภาษีเงินได้ (ภาษีเงินได้)_____________32,899____________________(70,391)

กำไรสำหรับปี_____________________________447,135____________________275,926

____________________________________31 ธันวาคม 2558___________31 ธันวาคม 2557

สินทรัพย์ภาษีเงินได้รอตัดบัญชี________________45,387____________________12,677



______________________________1/1/58____P&L____กำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ___ส/ท ภาษีเงินได้รอตัดฯสินทรัพย์ภาษีเงินได้รอตัดบัญชี                              

จากรายการปรับปรุงการด้อยค่าฯ____7,962_____(2,119)_________-___________________5,843

จากค่าตัดจำหน่ายสะสมฯ___________147______(147) _________-_____________________-

จากประมาณการหนี้สินฯ_________5,857_______(112) _________-___________________5,745

จากขาดทุนทางภาษีไม่เกิน 5 ปี______-________35,000__________-__________________35,000

รวมสินทรัพย์ภาษีเงินได้รอตัดบัญชี_13,966_____32,622__________-__________________46,588     

หนี้สินภาษีเงินได้รอการตัดบัญชี                                             

จากที่ดิน อาคารและอุปกรณ์_______(1,289)_______88__________-__________________ (1,201)

                                                         

สินทรัพย์ภาษีเงินได้รอตัดบัญชีสุทธิ_12,677_____32,710__________-__________________45,387


จากข้อมูลทางภาษีที่ปรากฏในหมายเหตุ ถ้าไม่ใช่นักบัญชีจะค่อนข้างงง แต่เราไม่ต้องสนใจว่าคำนวณอย่างไร เพราะนั่นเป็นหน้าที่นักบัญชีและผู้สอบบัญชีต้องตรวจความถูกต้อง แต่ให้รู้ว่ารายการภาษีจะกระทบจากกรายการผลต่างทางเกณฑ์บัญชีภาษีซึ่งมีหลายรายการและแสดงยอดสุทธิ ผลที่ทำให้สินทรัพย์ภาษีเงินได้รอตัดบัญชีเพิ่มขึ้น (เดบิต) ทำให้ค่าใช้จ่ายลดลงกลายเป็นลบ 32.71 ลบ. ไม่ใช่ได้คืน แต่จำไว้คือ รายการสินทรัพย์ภาษีเงินได้รอตัดบัญชีจะต้องตัดออกเป็นค่าใช้จ่ายเมื่อผลต่างทางเวลาหมดไป แสดงว่ายอดนี้ 45.387 ลบ. จะ(ทยอย) เป็นค่าใช้จ่ายในงบ ถ้าไม้มีรายการรอต้ดภาษีปรับปรุง