การตีราคาสินทรัพย์กับผลกระทบทางการเงินในมุมทั้งงบการเงินและการเงินธุรกิจ
มีข่าวล่าสุดไม่นานที่บริษัทเตรียมเข้าตลาดในไม่กี่วันนี้ได้มีการแจ้งถึงการเปลี่ยนนโยบายบัญชี
จากการตีราคาใหม่เป็นราคาทุน
มีบางคนบอกว่าที่เปลี่ยนเพราะมาตรฐานการบัญชีเขาเลิกใช้แล้วเลยเลิกตี ต้องบอกก่อนว่าเข้าใจผิด มาตรฐานการบัญชี
ฉบบัที่ 16 (ปรับปรุง 2558) เรื่อง ที่ดิน
อาคารและอุปกรณ์ การวัดมูลค่าภายหลังการรับรู้รายการ ให้เลือกได้ โดยกำหนดว่ากิจการต้องเลือกใช้นโยบายบัญชีโดยใช้วิธีราคาทุนที่กำหนดไว้ในย่อหน้าที่
30 หรือวิธีการ ตีราคาใหม่ตามที่กำหนดไว้ในนย่อหน้าที่ 31
ทั้งนี้ กิจการต้องใช้นโยบายบัญชีเดียวกันสำหรับที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ทุกรายการที่จัดอยู่ในประเภทเดียวกัน
หมายความว่าให้ทำได้ ไม่ได้ยกเลิกครับ ผมอ่าน comment เห็นบางคนบอกว่ามาตรฐานบัญชีเลิกใช้เลยยกเลิก
อันนี้เข้าใจผิดอย่างแรง ส่วนการจะเลือกหรือเปลี่ยนแปลงนโยบายบัญชี
ไม่ใช่เรื่องผิดหลักบัญชี เพียงแต่ส่งผลในทางการเงินระยะยาวต่างกัน ทั้งดีและเสียทั้งยังอาจสะท้อนนัยบางอย่างได้
1.
มาพิจารณาเรื่องหลักการคิดค่าเสื่อมราคาก่อน
ในทางบัญชีเพื่อสะท้อนผลการดำเนินงานให้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงเรื่องการจับคู่รายได้กับรายจ่าย
(ปัจจุบันไม่ใช้กันแล้ว แต่มันคือแนวคิดแรกๆ ของ GAPP)
นั่นคือเรื่องบัญชีแบบพื้นๆ ถ้าให้ลึกขึ้นคือหลักของ capital maintenace (ทุนรักษาระดับ) เรื่องนี้จะยาก อธิบายง่ายๆ สมมติถ้าบริษัทลงทุน 100
นำเงินไปซื้อเครื่องจักร 100 อายุ ใช้งานได้จริง
10 ปี ถ้าทำของขายได้กำไรมา 30 (ก่อนหักค่าเสื่อมแต่หักต้นทุนและรายจ่ายอื่นแล้ว)
ถ้าไม่หักค่าเสื่อม จะแสดงกำไร 30 ถ้าจ่ายปันผล 100% ของกำไรจะจ่าย 30 สมมติขายสดจ่ายสดทั้งหมด งบการเงินแบบไม่หักค่าเสื่อมจะเป็นดังนี้
เครื่องจักร 100
= ทุน 100
จะเกิดอะไรขึ้นในปีที่ 10 สินทรัพย์ จะด้อยค่าทันที 10
เพราะใช้งานต่อไม่ได้เพราะหมดอายุขาดทุนทันที 100 และกิจการก็ไม่เหลือเงิน หากจะต้องการผลิตขายต่อ ก็ต้องเพิ่มทุน 100
เพื่อเอาเงินไปซื้อเครื่องจักร 100 ใหม่ ถ้าเครื่องจักรราคาคงเดิมกิจการต้องเพพิ่มทุนทุกๆ
10 ปี โดยไม่ได้มี growth แต่เพียงเพื่อรักษาตลาดเดิมรักษากำไรคงเดิมไว้
2.
กรณีเดิมหากตัดค่าเสื่อมราคา กำไรจะเหลือ 20 (30 คือกำไรก่อนหักค่าเสื่อมแต่หักต้นทุนและรายจ่ายอื่นสมมติขายสดจ่ายสดทั้งหมด
เงินจะมีอยู่ 30 จ่ายปันผล 100% ของกำไรจะจ่ายปันผล
20 งบการเงินแบบหักค่าเสื่อมจะเป็นดังนี้
เงินสด 10 เครื่องจักร 90 =
ทุน 100
ในปีที่ 10 สินทรัพย์จะเป็นเงินสด 100 ทุน 100
เครื่องจักรหมดพอดี หากพอใจตลาดเดิม ผลกำไรที่ได้ กิจการก็เอาเงินไปซื้อซื้อเครื่องจักร
100 ใหม่อีกครั้ง (reinvestment) แม้ไม่มี
growth แต่สามารถดำรงอยู่อย่างต่อเนื่อง (going concern) นี่คือหลักสำคัญทำไม่ต้องหักค่าเสื่อมราคา ก็เพื่อให้กิจการสามารถมีสามารถดำรงอยู่อย่างต่อเนื่อง
(going concern) และ รักษาตลาดเดิมรักษากำไรคงเดิมไว้
ตามแนวคิดของ capital maintenace (ทุนรักษาระดับ)
3.
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเครื่องจักมีราคาสูงขึ้น หากใช้ราคาทุนตัด
ผลคือสุดท้ายกิจการจะมีเงินสด (สินทรัพย์) ไม่เพยงพอในการ ลงทุนใหม่อีกครั้ง (reinvestment) ณ เวลานั้น ทำได้สองอย่างคือไม่กู้ก็เพิ่มทุน หมายถึงหนี้สินต่อทุนจะสูงขึ้นหรือเกิด
dilution ดังนั้นมาตรฐานจึงให้เลือกการตีราคาใหม่ได้
ไม่ใช่เพียงใช้หลักราคาทุน
4.
การใช้ราคาทุนมีข้อดีคือเรื่องของหลักฐานอันเที่ยงธรรม
(Faithfull Evidence) ชัดเจนในเรื่องที่มาที่ไป
มีเอกสารทางบัญชี การตีราคาใหม่ความจริงมตรฐานก็พยายามใช้ขัดครับ
แต่ราคาตลาดบางทีสินทรัพย์บางรายการก็พิสูจน์ยากชัดเจนได้ยากกว่าหลักราคาทุน
เพราะราคาตีใหม่มักนิยมใช้ราคาอ้างอิง ไม่ใช่ราคาที่กิจการใช้ทรัพยากรแลกเปลี่ยนมา
5.
ในประเด็นทางบัญชีคงพอจะเข้าใจมากขึ้นนะครับ ทีนี้มาดูสั้นว่าถ้าตีขึ้นจะเกิดอะไร
สมมติกรณีเดิม ปีที่2 ถัดมา เครื่องจักรมีราคา เพิ่มขึ้นจาก BV 90 เป็น 99 นั่นคือตีราคาใหม่เพิ่มขึ้น
9 (ถ้าซื้อสภาพใม่ต้องซื้อที่ 110)จะลงรายการดังนี้
เดบิต เครื่องจักร 9
เคดิต ส่วนเกินจากการตีราคาสินทรัพย์
9 >>> ลงในกำไรท่อน
2 OCI
ค่าเสื่อมราคาปีที่สองเท่ากับ 10+9/9 = 11 กำไรจะเหลือ 30-11
= 19 สมมติขึ้นราคาขายไม่ได้
รายยการอื่นคงที่ เงินจะมีอยู่ 30 จ่ายปันผล 100% ของกำไรจะจ่ายปันผล 19
สิ้นปีที่สอง งบจะแสดง ดังนี้ เงินสด 21 + เครื่องจักร 88 = ทุน 100 เงินสดปีที่แล้ว
มี 10 ปีนี้ เหลือ 11
พอถึงปีที่ 10 เงินสดจะเหลือ 109 ขาดเล็กน้อยเพราะปีแรกสำรองน้อย
กู้เพิ่มหรือเพิ่มทุนไม่มาก
6.
ดังนั้นการใช้นโยบายตีราคาใหม่ในทางทฤษฏี
เพื่อกันเงินสดในกิจการไว้ ถ้าคนเคยอบรมกับผม ผมเคยบอกว่ามันคือกรงขังเงินสดไว้ในกิจการเอาออกไม่ได้ในการปันผล
อยากเอาออกก็เอาไปซื้อหุ้นคืนซะ หรือได้อีกหลายๆ วิธี
แต่ไม่ใช่เรื่องดีเท่าไรต่อกิจการในระยะยาว
7.
เขียนอธิบายมายาวพอควรแล้ว สรุปผลทางการเงินการตีราคา
PPE มักต้องการผลคือ
ก.
ทำให้ D/E ดูดีขึ้น เพราะเมื่อตีราคาเพิ่ม Equity
เพิ่ม แต่หนี้ไม่เพิ่ม อันนี้หลอกตาได้ ขั้นที่ 1
ข.
ทำให้ BV เพิ่ม ส่งผลให้ P/BV ลดลงดูเหมือนราคาถูกลง
อันนี้หลอกตาได้ ขั้นที่ 2
ค.
ข้อดีระยะยาว สะท้อนด้านการดำเนินงานการจ่ายปันผลใกล้สิ่งที่ควรเป็นที่สุด
ระยะยาว ลดการเพิมทุนมากๆ ก่อหนี้มากๆ เพราะเก็บเงินสดไว้มากขึ้น
ง.
การที่กิจการกำหนดนบายครั้งงแรกว่าใช้วิธีการตีราคาใหม่
ย่อมแสดงว่า กิจการเชื่อว่าราคาสินทรัพย์ดำเนินงานเช่นครื่องจักร
โรงงานจะมีแนวโน้มราคาเพิ่ม การย้อนกลับมาใช้ราคาทุนจะทำให้ระยะยาวเมื่อจบโคงการถ้าจะดำเนินการต่อ
อาจต้องกู้มากขึ้น หรือเพิ่มทุน ในช่วงเวลาการดำเนินงานจากนี้ไป D/E จะเพิ่มขึ้นได้
จะกลายเป็นความเสี่ยงด้าน Solvency
จ.
สิ่งที่ทำได้เพื่อไม่ให้เกิด ข้อ ง. คือจ่ายปันผลในอัตราที่ต่ำลง
เช่นควรจ่าย 50% ก็เหลือ 30% เป็นต้น ผลการจ่าย payout
ที่ไม่สอดล้องกับ sustainable growth จะทำให้ส่งผลกับราคาหุ้นหรือมูลค่าหุ้นในเชิงลบมากกว่าบวก
8.
ในหลายกิจการที่ใช้ราคาทุน สิ่งสำคัญคือการรักษาระดับ
D/E และอัตราการจ่ายปันผลในระดับพอเหมาะและนิ่ง
จึงจะดีในระยะยาว ส่วนวิธีราคาตีใหม่ระดับ D/E จะต่ำกว่าและอัตราการจ่ายปันผลจะจ่ายอัตราสูงกว่าเพราะกันเงินไวแล้วผ่านกำไร
9.
การเปลี่ยนนโยบายบัญชีเพื่อโครสร้างการเงินถือว่าดี
แต่หากเพื่อผลการแสดงกำไร ดูไม่ดีเพราะเป็นการทำ creative accounting แบบหนึ่ง