วันอาทิตย์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ค่าที่นิ่ง แสดงว่าไม่ผันผวน บอกอะไรเกี่ยวกับบริษัท


ค่าที่นิ่ง แสดงว่าไม่ผันผวน บอกอะไรเกี่ยวกับบริษัท

             ROAOM*AT ประสิทธิภาพการลงทุนดี รักษาการทำไรดี มี organic growth ในตัว

             ROE – NM*AT*(1+D/E) ประสิทธิภาพการลงทุนดี รักษาการทำไรดี  รักษาระดับการก่อหนี้คงที่

             AT – ประสิทธิภาพการลงทุนดี ตัดสินใจลงทุนดี เหมาะสม customer มี loyalty

             D/E – มีความเข้มแข็งในด้าน solvency มีเครดิตการค้า การกู้ยืมกับสถาบันการเงินดี

             GM – ควบคุมต้นทุนผลิตดี ระบบการผลิตดี  (จัดซื้อและผลิต/โรงงาน)

             OM – ควบคุมค่าใช้จ่ายดี ระบบงบประมาณดี ระบบการควบคุมภายในดี

             NM – ระบบการควบคุมภายในดี ควบคุมต้นทุนการเงิน+ภาษีดี ไม่มีกำไร one-time มากและบ่อย

             ART – มี customer portfolio ดี ล/ค มี Loyalty ต่อสินค้า ต่อธุรกิจ

             IT - ระบบการจัดซื้อผลิต/โรงงาน และ ฝ่ายขายดี ซื้อดี ผลิตดี ขายคล่อง

             APT – มี Bargaining Power of Suppliers

ในการประเมินมูลค่าหุ้น ทำไม P/E ถึงใช้แทน DCF ได้


ในการประเมินมูลค่าหุ้น ทำไม P/E ถึงใช้แทน DCF ได้

นักลงทุนจำนวนมาก ยังสับสนและไม่แน่ใจว่าราคาหุ้นควรใช้ P/E หรือไม่ และบางคนก็ไปมุ่งทำ DCF (Discount Cash Flow) และนักวิเคราะห์จำนวนมากก็ชอบทำ DCF เพราะดูขลังดี ดูแล้วน่าเชื่อถือ ในมุมมองผมแล้ว DCF หลักการดี แต่มั่วตัวเลขตัวเลขง่ายที่สุด แต่งตัวเลขหลอกง่ายที่สุด โดยถ้าคนไม่รู้จริงถูกหลอกง่ายที่สุด เรื่องนี้ คนที่เรียนกับผมคงเข้าใจ แต่คนที่ยังไม่เรียนอาจงงๆ ผมเองเชื่อในหลักการ DCF แต่ไม่ใช้ เพราะยากมากที่เราจะรู้ว่าปีไหนจะมี GM OM NM เท่าไร จะโตมากโตน้อย กู้มากกู้น้อย เราทำได้ดีที่สุดเพียง คาดการณ์กว้างๆ คร่าวๆ เพียงน่าจะได้ค่าๆ หนึ่ง แล้วกำหนดให้คงที่ระยะยาว

    ถ้าประมาณโดยใช้หลักการคงระดับประสิทธิภาพไว้ เช่น GM OM NN Turnover ต่างๆ ตลอดจน D/E แล้ว FCF จะคงที่และเพิ่มตามการเติบโตของยอดขาย เพราะ เนื่องจาก GM OM NM คงที่

    NWC (ทุนหมุนเวียนสุทธิที่เพิ่มหรือลด) ก็จะคงที่ด้วย เพราะเมื่อเก็บเงินรอบเท่าเดิม รอบสินค้าก็เท่าเดิม ยอดขายเปลี่ยน สัดส่วนต่างก็จะเปลี่ยนตาม

    ที่ยอดขายเท่ากับ  X  และมีนโยบายการให้เครดิตขายเชื่อเฉลี่ยราว a วัน 

   AR = a*X/360 ถ้ายอดขาย X โต Dg ---- >   DAR= a*DX/360

    ในทำนองเดียวกันกับการหาสินค้าคงเหลือและเจ้าหนี้การค้า ถ้า หมุนสินค้าฯ b วัน จ่ายเจ้าหนี้เฉลี่ย c วัน จะได้

    DINV= b*DX*(1-GM)/360

    DAP  = c*DX*(1-GM)/360

    การเปลี่ยนแปลงใน DNWC =  -a*DX/360 - b*DX*(1-GM)/360 + c*DX*(1-GM)/360 คือสูตรสำเร็จรูปของการเปลี่ยนแปลงทุนหมุนเวียนสุทธิที่เพิ่มหรือลด

    จากที่กล่าวมา จะเห็นว่า a, b, c, GM คือตัวแปร หากกำหนดคงที่ระยะยาว DX คือ % คือการเติบโตยอดขาย

     กำไรในรูป CFO ก็เปลี่ยน ตามกำไรสุทธิ ยอมไปในทางเดียวกับ EPS และ DPS

    CAPEX ก็เช่นกัน ถ้า AT คงที่ ทุกครั้งที่ยอดขายเพิ่ม การลงทุนก็ต้องมีตลอดเวลา กำไรมี Depreciation ใน CFO ก็จะมี capital maintenance

    จากที่กล่าวมา จะเห็นว่า a, b, c, GM คือตัวแปร หากกำหนดคงที่ระยะยาว DX คือ % คือการเติบโตยอดขาย

    กำไรในรูป CFO ก็เปลี่ยน ตามกำไรสุทธิ ยอมไปในทางเดียวกับ EPS และ DPS

     CAPEX ก็เช่นกัน ถ้า AT คงที่ ทุกครั้งที่ยอดขายเพิ่ม การลงทุนก็ต้องมีตลอดเวลา กำไรมี Depreciation ใน CFO ก็จะมี capital maintenance

    DCF Model:  FV = FCF/WACC  --- > P = D/k …… no growth model

     FCF = EBITDA – DNWC – CAPEX

     If no growth DNWC = 0 ไม่มี AR Inventory AP เพิ่ม เพราะขายไม่เพิ่ม

    เก็บเงินคงที่ สินค้าหมุนเวียน ผลิตคงที่ จ่ายหนี้การค้าคงที่

     CAPEX = Depreciation ลงทุนเท่าค่าเสื่อม à แค่รักษาระดับกำลังการผลิต capital maintenance / no new investment to expansion

    FCF = EBITDA - 0 - Depreciation = EBIT

    จาก FCF/WACC = FV = Value of Debt + Value of Equity

    FV = Vd  + Ve  = Int/rd  +  NI/re

   NI/re  =  EPS/k  = P --- >  P/E = 1/k

    P/E จึงบอกว่านักลงทุนจะคืนทุนในเวลากี่ปี ถ้าจ่ายกำไร 100% ของกำไร หรือบอกว่าผลตอบแทนการลงทุนเป็นเท่าไร (1/k) (จ่าย b = 100%)

    P/E = 10  --- > return = 10%

     ถ้ามี growth:   P/E =  b /(k-g)

    เราอาจตีความได้ว่าส่วนกลับของ P/E คูณอัตราจ่ายปันผลคือ Dividend Yield

    สำหรับคนทำ DCF หากไม่กำหนดค่าให้นิ่ง คำถามคือรู้ได้อย่างไรว่าปีต่อไปจะเปลี่ยน แล้วเปลี่ยนปีไหน ทำไมต้องปีนั้น

   การลงทุนใน CPEX ก็เช่นกัน ทุกอย่างหากไม่ตั้งสมมติฐานจากปัจจุบัน และผลงานในอดีตแล้ว ประสิทธิภาพที่ดีขึ้นมาเกิดจากอะไร

   ประสิทธิภาพผูกโยงกับ Corporate Culture องค์กรที่มีประสิทธิภาพมักจะสะท้อนผ่าน ค่า b กิจการที่มีประสิทธิภาพ ค่า b  มักจะใกล้เคียงตลาด

  ดังนั้นการประเมินมูลค่าหุ้นด้วย P/E ไม่ว่าจะมี growth หรือไม่มี เรากำลังกำหนดอนาคตว่าสิ่งที่จะทำได้ในอนาคต จะไม่แตกต่างจากค่าเฉลี่ยที่เคยทำมา คนที่เรียนกับผมมาจะรู้ว่าผมย้ำเสมอเรื่องความนิ่งของอัตราส่วนต่างๆ ยิ่งนิ่งยิ่งดี หากไม่นิ่งราคาหุ้นจะยิ่งผันผวน หุ้นที่ดีค่าอัตราส่วนต่างๆควรต้องนิ่ง (วิธีการวัดความนิ่งคนเรียนกับผมทบทวนด้วย ไม่ลืมนะครับ)

    ประเด็นนี้ก็เชื่อมโยงไปว่าทำไมราคาหุ้นเราต้องติดตามอย่างน้อยปีละครั้ง ไม่ต้องทำทุกวัน แต่ไม่ใช่ทำวันนี้แล้วจบ ทำไม risk free rate ตำราจริงๆ (Text Book) ที่เรียน เขาใช้ T-Bill (1 ปี) ไม่ใช้T-Note ที่อายุเกิน 1 ปี (เช่นมีบางคนแนะให้ใช้ 15-20 ปีไม่จำเป็นเลยครับ)  บางคนอาจค้าน แต่คนมาเรียนกับผมได้ชี้แจงกันในชั้นเรียนแล้ว ความรู้ผมกลมและเชื่องโยงกันทุกประเด็นครับ จำไว้นะครับ หุันดีต้องนิ่ง ยิ่งนิ่งจะโตได้ยาวราคาไม่แกว่ง

วันเสาร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

Tax Shield คืออะไร

มีคนถาม Tax Shield คืออะไร
Tax Shield คือประโยชน์ที่ได้ทางภาษีที่จ่ายน้อยลงจากรายจ่ายนั้นเอง เช่น บริษัทมีรายได้ก่อนหักค่าเสื่อมและภาษี 300 ลบ. อัตราภาษี 22% มีค่าเสื่อมราคา 100 ลบ. สมมติไม่มีหนี้ ไม่มีดอกเบี้ยจ่าย
EBITDA_______________300
Depreciation ___________-100
EBT___________________200
Tax 22%________________-44
NI_____________________156
ถ้าไม่มีค่าเสื่อมเกิดขึ้น บริษัทต้องจ่ายภาษี 300x22% = 66 แต่เมื่อมีการหักค่าเสื่อมฯ 100 จ่ายภาษีเพียง 44
ภาษีที่จ่ายน้อนลงนี้ 22 เรียกว่า Tax Shield = 100x22% = 22
Tax Shield = ค่าใช้จ่าย x อัตราภาษี พูดง่ายๆคือรายจ่ายทุก 100 บาท ให้ภาษีที่ต้องเสียภาษีลดลงจากภาษีที่เกิดจากรายได้ก่อนรายจ่ายนั้น 22 บาท
จากตัวอย่างข้างต้นสมมติมีอีกดอกเบี้ยจ่าย 50 บาท บริษัทจะเหลือกำไรเท่ากับ 156-50 = 106 แต่จะมีกำไรดังนี้
EBITDA________________300
Depreciation ___________-100
ดอกเบี้ยจ่าย______________-50
EBT___________________150
Tax 22%________________-33
NI_____________________117
ภาษีจ่ายลดลงอีกจาก 44 เหลือ 33 ลดลง 11 บาท ทุกๆรายจ่ายที่เกิดขึ้น กำไรลดลงแต่ภาษที่จะจ่ายก็จะลดลงด้วยเช่นกัน ถ้าเขียนเป็นสมการง่ายๆ
NI = Sales – Exp - (Sales – Exp) x t = (Sales – Exp) x (1-t) = Sales – Exp - (Sales x t) + (Exp x t)
Total tax exp = ภาษีทั้งหมดจากรายได้ (Gross) + Exp x t
บริษัทมีรายได้จากการขาย 1,000 ต้องเสียภาษี = 1,000 x t
มีรายจ่ายทั้งหมด 800 จะได้ tax shield = 800 x t
ถ้าภาษีเท่ากับ 25%
ภาษี = -1000x0.25 + 800x0.25 = -250 + 200 = -50
Prove:
Sales____________1000
Exp_____________-800
EBT_____________200
Tax 25%__________-50
NI_______________150
ความจริงเรื่อง Tax Shield มักจะมีกล่าวมากในวิชาการเงินมากกว่าทางด้านบัญชี
Depreciation Tax Shield ประโยชน์ทางภาษีที่เกิดจากค่าเสื่อมราคา เป็นรายจ่ายทางบัญชีที่ไม่ได้จ่ายเป็นงินสด แต่ทำให้ค่าใช้จ่ายทางภาษีลดลง = Depreciation Exp. X Tax rate
Interest Tax Shield ประโยชน์ทางภาษีที่เกิดจากดอกเบี้ย ทำให้ต้นทุนดอกเบี้ยที่เป็นเงินสดจ่ายออกลดลง = Interest Exp. X Tax rate ทำให้ในสูตร WACC = D/(D+E) * (rd) *(1-t) + E/(D+E) * re