ความรู้ทางการเงิน การลงทุน และการบัญชี (05/03/59)
มารู้จักสินทรัพย์ให้มากกว่าที่รู้
สินทรัพย์ในทางบัญชี
มีนิยามที่ต้องเข้า 3 องค์ประกอบคือ
1.
เป็นทรัพยากรที่อยู่ในความควบคุมของกิจการ
ทรัพยากรดังกล่าวกิจการสามารถนำไปใช้ในกิจการหรือก่อให้เกิดประโยชน์เชิงเศรษฐกิจในอนาคต
2.
เกิดจากเหตุการณ์ในอดีต หรือกล่าวง่ายๆ คือ
สินทรัพย์ที่อยู่ในงบแสดงฐานะการเงินจะต้องมีที่มาที่ไป นั่นคือมีกิจกรรมที่มีผลทำให้ได้ซึ่งสินทรัพย์นั้น
3.
ต้องมีประโยชน์เชิงเศรษฐกิจในอนาคต
หมายความว่าสิ่งที่แสดงเป็นสินทรัพย์ ว่ามีมูลค่าเท่านั้นเท่านี้ จะต้องมีประโยชน์เชิงเศรษฐกิจหรือกระแสเงินสดสุทธิ (ค่าปัจจุบัน)
เข้าไม่น้อยกว่ามูลค่าที่อยู่ในงบแสดงฐานะการเงิน ดังนั้น
ถ้ารายการสินทรัพย์ใดที่ไม่มีประโยชน์เชิงเศรษฐกิจหรือมีแต่มูลค่าที่จะได้รับในอนาคตต่ำกว่ามูลค่าที่แสดงในงบดุล
สินทรัพย์นั้นควรจำหน่ายออกหรือลดมูลค่าลงให้แสดงไม่เกินกว่ามูลค่าที่คาดว่าจะได้รับ
และประกอบด้วย 2
เงื่อนไขการรับรู้สินทรัพย์ คือ
(1) เมื่อมีความเป็นไปได้ค่อนข้างแน่ที่ประโยชน์เศรษฐกิจในอนาคต
จะเข้าสู่กิจการและ
(2)
สินทรัพย์นั้นมีราคาทุนหรือมูลค่าที่วัดได้อย่างน่าเชื่อถือ
นั่นคือที่กล่าวในนิยามตามแม่บทการบัญชี
สรุปสั้นๆ สินทรัพย์คือทรัพยากรที่มีไว้ใช้ดำเนินงานหรือเกิดจากการดำเนินงาน
เช่น เงินสด สินค้าคงเหลือ ที่ดินอาคารและอุปกรณ์ เงินลงทุน
พวกนี้จัดหามีไว้เพื่อหารายได้ เพื่อดำเนินธุรกิจ ส่วนลูกหนี้การค้า
ค่าใช่จ่ายจ่ายล่วงหน้า รายได้ค้างรับ ภาษีถูกหัก ณ ที่จ่าย เงินมัดจำ
รายการเหล่านี้เกิดเพราะการดำเนินธุรกิจ เกิดเพราะขายสินค้า
เกิดเพราะไปซื้อวัตถุดิบ
ในอีกแง่มุมหนึ่งสำหรับนักลงทุนที่ไม่ใช่นักบัญชี
และเชื่อว่าส่วนใหญ่นักลงทุนมักมองแบบนักบัญชี แต่ไม่ได้มองในมุมของผู้ใช้ทางการเงินและนักลงทุนคือ
1.
สินทรัพย์คือ Uses fo Funds ให้นักลงทุนตระหนักเสมอว่าสินทรัพย์ที่ได้มาเกิดจากการจัดหามาด้วยทุนเสมอทุกรายการ
ดังนั้นสินทรัพย์ทุกบาทในงบมีต้นทุนทุกรายการ
แต่เราไม่ต้องไปหาลึกว่ารายการไหนมีต้นทุนเท่าไร ให้รู้ไว้อย่างเดียวว่าต้นทุนการจัดหาสินทรัพย์ทุกรายการที่อยู่ในงบแสดงฐานะการเงิน
(งบดุล) คือ WACC (Weighted Adverage Cost of Capital)
ต้นทุนถัวเฉลี่ยของเงินทุน
2.
เงินทุนของกิจการมาจาก 4 แหล่ง
คือจากภายในและภายนอก ภายในคือกำไรสะสม กำไรจากการดำเนินงานในแต่ละปี ส่วนที่ไม่จ่ายปันผลกลับไปคือทุนอันหนึ่ง
ดังนั้นที่เก็บกำไรไว้ไม่จ่ายออก (1-Payout)
บริษัทต้องสร้างผลตอบแทนมากกว่าที่นักลงทุนคาดหวัง ดังที่ วอร์เรน บัฟเฟตต์
กล่าวไว้ว่าหากกิจการเก็บกำไรไว้และสร้างกำไรมากกว่าผลตอบแทนที่ผู้ถือหุ้นได้รับไปลงทุนเอง
ควรเอาเงินกำไรมาลงทุนต่อ นี่คือเหตุผลที่เบิร์กไชไม่จ่ายปันผล
ดังนั้นต้นทุนของกำไรสะสมคือ required rate of return ผลตอบแทนที่นักลงทุนต้องการ
ซึ่งวัดหรือดูได้จากค่า ROE
ว่าสูงพอไหมถ้าทำได้น้อยก็หมายถึงเก็บกำไรไว้แล้วไม่คุ้ม
3.
แหล่งเงินทุนภายนอก มี 3 แหล่งคือ
1. จากการได้สินเชื่อการค้า
เช่นซื้อสินค้าแล้วได้เครดิต ค้างจ่ายค่าใช้จ่ายไปสักระยะหนึ่งเดือนเป็นต้น
ต้นทุนจากแหล่งนี้ไม่มี แต่มีจำกัด และบังคับต้องจ่ายในระยะเวลากำหนด 2. จากการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน
ต้นทุนคือต้นทุนดอกเบี้ยจ่าย สัญญาเช่าซื้อก็จัดไว้ในกลุ่มนี้
อะไรก็ตามที่มีดอกเบี้ยจ่าย อยู่ในกลุ่มนี้ 3. ทุนจากผู้ถือหุ้น
หรือการเพิ่มทุน ทุนก้อนนี้มีต้นทุนเช่นเดียวกับกำไรสะสมคือ required
rate of return ผลตอบแทนที่นักลงทุนต้องการ
4.
ดังนั้นสิ่งแรกในมุมของสินทรัพย์คือ ตัวมันมีต้นทุนเสมอ
ไม่ว่าจะอยู่ในรูปอะไรก็ตาม ลูกหนี้การค้า สินค้าคงเหลือ ภาษีถูกหัก ณ ที่จ่าย ค่าใช้จ่ายจายล่วงหน้า
รายได้ค้างรับ ที่ดินอาคารและอุปกรณ์ เงินลงทุน สินทรัพย์ภาษีเงินได้รอตัดบัญชี
ค่านิยม แม้แต่เงินสด ทุกรายการล้วนมีต้นทุน เพราะได้มาจากแหล่งเงินทุนที่กล่าวมา
เพียงแต่เราไม่ทราบว่าเอาจากไหนเมื่อไร บางคนบอกว่าซื้อสินค้าจากเจ้าหนี้แสดงว่าไม่มีต้นทุน
ดูเหมือนใช่แต่ตอนจ่ายหนี้ค่าสินค้าเราเอาอะไรจ่าย เงินกู้ระยะสั้น
หรือเงินจากการขายสินค้าใช่ไหม เงินสองรายการนี้ก็มีต้นทุน
จึงสรุปไม่ถูกต้องถ้าจะบอกว่าสินค้าไม่มีต้นทุน
5.
ดังนั้นสินทรัพย์ให้ตระหนักเสมอว่า มองรวมๆ เฉลี่ยคือ WACC
(Weighted Adverage Cost of Capital) ต้นทุนถัวเฉลี่ยของเงินทุน
6.
สินทรัพย์ (Assets) ที่เห็นในงบการเงิน
มี 3 สถานะคือ 1. เปลี่ยนเป็นเงินสดตามมูลค่าที่แสดงในวันที่วัดมูลค่าในงบการเงิน
เช่น ลูกหนี้การค้า เงินสด เงินลงทุนชั่วคราว (ระยะสั้น) 2. ถือไว้เพื่อสร้างรายได้ในอนาคต เช่น สินค้าคงเหลือมีไว้เพื่อขาย
เพื่อผลิตสินค้าไว้ขาย ที่ดิน อาคารโรงงาน เครื่องจักร มีไว้เพื่อผลิตสินค้าขาย 3.
สินทรัพย์ที่มีที่ได้มาเพราะจ่ายเงินไปเพื่อทำให้เกิดการดำเนินธุรกิจได้ เช่น
ค่าเช่าจ่ายล่วงหน้า จ่ายเงินไปแล้วทำให้มีอาคารไว้ดำเนินธุรกิจ ค่าเบี้ยประกันภัยจ่ายล่วงหน้า
จ่ายไปเพื่อขับรถส่งสินค้าได้ (จ่าย พรบ. ประกันภัยประเภท 3) เป็นต้น
7.
สินทรัพย์ทั้ง 3
แบบตามข้างต้น ถ้าเปลี่ยนเป็นเงินสดโดยตรง เช่น ลูกหนี้การค้า ก็เก็บเงินสดเข้ามา
สภาพการเป็นลูกหนี้ก็หมดไปกลายเป็นเงินสด รายการที่เปลี่ยนเงินสดมาโดยตรงจะไม่เป็นค่าใช้จ่าย
8.
สินทรัพย์ที่หมดประโยชน์หมดสภาพไป ไม่ว่าจะด้วยกาลเวลา
การเสื่อมค่า จะเป็นค่าใช้จ่ายในงบกำไรขาดทุนเสมอ จึงกล่าวได้ว่าค่าใช้จ่าย (Expense)
คือ Expired Asset
9.
ลูกหนี้ส่วนที่เก็บเงินไม่ได้หรือคาดว่าจะเก็บเงินไม่ได้
ก็คือค่าใช้จ่าย เรียกหนี้สูญหรือหนี้สงสัยจะสูญ โรงงาน อาคารเครื่องจักร
ใช้งานไปความสามารถในการรใช้ประโยชน์ ใช้งานก็จะหมดไปตามกาลเวลา
หมดประโยชน์ตามการใช้งาน ก็ตั้งค่าเสื่อมตัดเป็นค่าใช้จ่ายไป
10.
ดังนั้นวันนี้มีสินทรัพย์อะไรในงบแสดงฐานะการเงิน
ถ้าไม่เปลี่ยนเป็นเงินสดกลับมาโดยตรง รายการนั้นจะกลายเป็นค่าใช้จ่ายในอนาคต
ซึ่งอาจทยอยออกไปหรือทีเดียวทั้งจำนวนก็ได้ขึ้นกับว่ายังก่อให้เกิดประโยช์ไปได้เท่าไร
11.
สินทรัพย์ภาษีเงินได้รอตัด อนาคตก็จะกลายเป็นค่าใช้จ่ายเมื่อความแตกต่างทางเกณฑ์บัญชีและเกณฑ์สรรพกรหมดไป
12.
ที่ดิน ไม่คิดค่าเสื่อม แต่อาจกลายเป็นค่าใช้จ่าย (บางส่วน) ได้
ถ้าราคาที่ดินลดลงจนเกิดการด้อยค่า มูลค่าลดลงไป
ก็จะกลายเป็นค่าใช้จ่ายในส่วนที่ลดไป (ขาดทุนจากมูลค่าที่ลดลง
หรือการด้อยค่าของสินทรัพย์)
13.
ค่านิยมก็เช่นกัน เหมือนที่ดิน ไม่ตัดค่าตัดจำหน่ายแต่ด้อยค่าได้
14.
ดังนั้นผู้บริหารมีหน้าที่ต้องทำให้สินทรัพย์ที่กิจการมีอยู่ก่อให้เกิดรายได้มากที่สุด
แน่นอนไม่สามารถนำทุกรายการมาหารายได้
แต่ต้องทำให้ตัวที่สร้างรายได้สามารถสร้างให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด
เพราะสินทรัพย์ทุกรายการมีต้นทุน และบางรายการถูกตัดจำหน่ายเป็นค่าใช้จ่ายในงวด
15.
ยิ่งมีสินทรัพย์มากในด้านหนึ่งคือ ยิ่งต้องสร้างรายได้ให้มาก
เพราะมีทั้งต้นทุนการถือครองสินทรัพย์ และสินทรัพย์กลายเป็นค่าใช้จ่าย
สินทรัพย์ยิ่งมากค่าใช้จ่ายยิ่งสูงตามมา
16.
นั่นคือที่มาว่าเหตุใดเวลาเรียนกับผมจึงย้ำเสมอว่า ต้องพิจราณา AT (Asset Turnover) ROA (Return
on Asset) อัตราส่วน Turnover ทั้งหลาย
มากกว่าดูเพียงแต่อัตรากำไรต่างๆ เพียงอย่างเดียว
17.
การมองสินทัพย์จึงควรพิจารณาด้านแหล่งสร้างรายได้ในอนาคตอันใกล้ที่เกิดแน่ๆ
โรงงานยังไม่มี งวดหน้ารายได้ก็ไม่เกิด บริษัทจะมีแผนก็ถือว่าดี แต่ถ้ายังไม่สร้างก็อย่าจินตนาการไตรมาสหน้ากำไรโตมากมาย
โรงงานไม่ได้ทำสามเดือนเสร็จ ซื้อเครื่องจักรเพิ่มยังพอไหว ต้องดูความเป็นจริงเสมอ
18. วันนี้เอาเพียงด้านสินทรัพย์
อย่างเดียวก่อน จะเขียนด้านหนี้สินและส่วนทุนตามมาภายหลัง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น