การไซฟ่อนเงิน
ตอนที่ 2
ต้องยอมรับว่าการดูข้อมูลเพื่อบอกว่าบริษัทไซฟ่อนหรือไม่นั้น
ไม่ใช่เรื่องง่าย รวมถึงบางเรื่องต้องใช้เวลายาวนาน และเข้าใจทางการบัญชีพอควร แต่มีไฟย่อมมีควัน
ดังนั้นเมื่อมีความผิดปกติเกิดขึ้น อย่างน้อยต้องมีเงื่อนพอให้สืบค้นเรื่องราวต่อไปได้บ้าง
คำแนะนำเบื้องต้นให้สัญญาณต่างๆ มีดังนี้
1.
จับสัญญาณจากงบการเงิน โดยอาศัยวิเคราะห์อัตราส่วนจากข้อมูลในงบการเงิน หรือแม้แต่ความเห็นของผู้สอบบัญชี
เช่นถึง แม้ผู้สอบบัญชีจะรับรองว่างบการเงินถูกต้อง แต่มีการตั้งข้อสังเกตบางอย่าง
(รายงานผู้สอบบัญชีให้ข้อสังเกต ซึ่งเป็นเรื่องใหม่ในรายงาน เดิมบางผู้สอบบัญชีก็มีเขียนรายงานอยู่แล้ว)
อันนี้ต้องดูรายละเอียดว่า ผู้สอบบัญชีกำลังบอกอะไร เช่น ผู้สอบบัญชีอาจบอกว่า
บริษัทมีการทำรายการที่เกี่ยวโยงกันเป็นจำนวนมากด้วยข้อความหน้างบว่า
“โดยมิได้เป็นการแสดงความเห็นอย่างมีเงื่อนไขต่องบการเงินข้างต้น ข้าพเจ้าขอให้สังเกตหมายเหตุประกอบงบการเงินข้อ
3
บริษัทและบริษัทย่อยมีรายการค้าระหว่างบริษัทและบุคคลที่เกี่ยวข้องกันเป็นจำนวนมาก
และในระหว่างปีบริษัทมีการรับคืนสินค้า เนื่องจากสินค้าเสียหาย” เป็นต้น
สัญญาณที่จะสะท้อนว่างบการเงินมีปัญหา
จะเห็นได้ชัดเจนขึ้นเมื่อความเห็นของผู้สอบบัญชีออกแนวเข้มข้นขึ้นเป็นลำดับ ได้แก่
การแสดงความเห็นต่องบการเงินนั้นแบบมีเงื่อนไข เช่น บอกว่าถ้าไม่นับเรื่องนี้แล้ว
งบการเงินที่เหลือถูกทั้งหมด หรือการบอกว่า ไม่อาจแสดงความเห็นต่องบการเงินได้
เนื่องจากไม่สามารถตรวจสอบได้ รวมถึงขั้นที่แรงสูงสุด คือ
บอกว่างบการเงินนั้นไม่ถูกต้อง
2.
ข้อมูลการทำรายการที่เกี่ยวโยงกัน
ไม่ใช่ว่าการที่บริษัททำรายการเหล่านี้จะไม่ดีเสมอไป แต่มีเพียงบางกรณีที่ถูกใช้เป็นช่องทางถ่ายเทผลประโยชน์ได้
ดังนั้น ในฐานะผู้ถือหุ้นซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทคนหนึ่ง ควรรักษาประโยชน์ของตนเอง
โดยเข้าไปดูว่าการทำรายการนั้นมีประโยชน์อะไรบ้างต่อบริษัท มีความสมเหตุสมผลไหม
ที่สำคัญคือ ราคามีความเป็นธรรม สมเหตุสมผลหรือไม่ หรือมีเงื่อนไขอย่างไร ทำให้บริษัทเสียประโยชน์หรือไม่
มีหลายกรณีที่รายการที่เกี่ยวโยงกันของบริษัทดูน่าสงสัย แต่ก็ได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น
ซึ่งเหตุผลส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะผู้ถือหุ้นที่ไม่เห็นด้วย
ไม่ได้เข้าประชุมเพื่อใช้สิทธิโหวตคัดค้าน หรืออาจไม่เข้าใจ จึงไม่ให้ความสนใจตรงนี้
3.
ควรติดตามว่าบริษัทได้ทำอะไรที่ไม่ใช่ธุรกิจปกติหรือไม่
เช่นธุรกิจหลักของบริษัทไม่ได้เป็นธนาคาร แต่ทำไมชอบปล่อยกู้เสียจริงหรืออาจให้สินเชื่อการค้า
แล้วต่อมาก็มีการตั้งสำรองเผื่อหนี้สูญ เราควรติดตามดูรายการเหล่านี้ว่าบริษัทมีมาตรการอย่างไร
มีการวิเคราะห์ความสามารถของลูกหนี้ในการชำระคืนเงินกู้หรือไม่ หรือบางทีบริษัทไปลงทุนในอะไรใหม่ๆ
ที่บริษัท ไม่มีความรู้ความชำนาญมาก่อน ต้องดูว่ามีความสมเหตุสมผลไหม
4.
พิจารณาว่าบริษัทมีระบบการควบคุมภายในที่ดีพอหรือไม่ เช่น ให้บุคคลคนเดียวเป็นผู้มีอำนาจลงนามโดยไม่มีระบบคานอำนาจ
ก็เป็นช่องทางให้เกิดการไซฟ่อนได้ง่าย
หรือหากระบบควบคุมภายในไม่ดีก็ทำให้เกิดการรั่วไหลของทรัพย์สินได้ง่ายเช่นกัน
ตัวช่วยบอกสัญญาณในเรื่องนี้ก็มาจากรายงานผู้สอบบัญชี อัตราส่วน turnover
ต่างๆ ผันผวนสูงๆ สม่ำเสมอ
บริษัทที่จะลงทุนถ้าหากส่งสัญญาณที่ไม่ค่อยดีนักว่าอาจมีการไซฟ่อน
ไม่ผิดถ้าคุณจะถอยหลังออกมา เพราะยังมีหุ้นตัวอื่นๆ ให้เลือก จำไว้ว่าการลงทุนในหุ้น
ถึงแม้จะดี ก็มีความยังเสี่ยงในการลงทุนตามปกติอยู่แล้ว เราไม่จำเป็นต้องเพิ่มความเสี่ยงจากการลงทุนในหุ้นของบริษัทที่น่าสงสัยว่าจะมีการไซฟ่อนอีก
บางคนสนใจทำกำไรเพียงสั้นๆไม่กี่วัน ไม่กี่สัปดาห์ไม่กี่เดือน ถ้าติดหุ้นก็ต้องทำใจยอมรับ
cut
loss เพราะบางทีอาจใช้เวลานานกว่าความจริงจะปรากฏ หุ้นก็อาจลงมามากกว่าที่คิด
จึงควรเลือกปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่า