วันพุธที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2559

การไซฟ่อนเงิน ตอนที่ 1


การไซฟ่อนเงิน ตอนที่ 1

         เรามักได้ยินคำสองคำ บางคนอาจจะสับสนระหว่างคำว่าการไซฟ่อนเงินกับการฟอกเงิน ทั้งสองคำนี้ต่างกัน การไซฟ่อนเงิน (money siphoning) คือการยักย้ายถ่ายเทผลประโยชน์ของบริษัทไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว ส่วนการฟอกเงิน (Money laundering) หมายถึง การกระทำใด ๆ ที่ทำให้เงินที่ได้มาโดยการกระทำที่มิชอบด้วยกฏหมาย หรือได้มาโดยการไม่สุจริตให้กลายเป็นเงินที่ได้มากโดยถูกต้องตามกฏหมาย หรือการฟอกเงิน ก็คือ การทำเงินที่สกปรกให้สะอาด ตลาดหุ้นก็ถือเป็นแหล่งหนึ่งที่อาชญากรทางการเงินใช้เป็นที่ฟอกเงิน แต่วันนี้เราจะไม่พูดถึงเรื่องการฟอกเงิน แต่จะพูดถึงเรื่องการไซฟ่อนเงิน



การยักย้ายถ่ายเทผลประโยชน์ของบริษัทออกไปเป็นผลประโยชน์ส่วนตัวของเจ้าของบริษัท สำหรับในประเทศไทยเกิดขึ้นบ่อยๆ โดยที่บางครั้งคนซื้อหุ้นเสียประโยชน์โดยไม่รู้ตัว การไซฟ่อนเงิน (money siphoning) โดยอาจจะทำผ่านช่องทางการทำธุรกิจปกติ เช่นในรูปของการซี้อขายสินค้าและสินทรัพย์ การกู้หรือให้ยืมเงิน การค้ำประกันระหว่างบริษัทจดทะเบียนกับผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ผู้บริหารหรือกิจการของคนเหล่านั้น แม้แต่การใช้ข้อมูลภายใน (inside information)

ข้อสังเกตพฤติกรรมของการไซฟอนเงิน จะมี 4 แบบหลัก ๆ คือ

1. การที่บริษัทใดบริษัทหนึ่ง ทำการซื้อสินค้า สินทรัพย์ หรือเงินลงทุนในราคาที่สูงกว่าหรือต่ำกว่าความเป็นจริง โดยเฉพาะกับบริษัทในเครือหรือบริษัทร่วมที่มีความเกี่ยวข้องกับตัวผู้บริหาร เจ้าของ หรือผู้ถือหุ้น ตัวอย่างแบบที่หนึ่ง คือ การที่บริษัทจดทะเบียนซื้อหรือขายสินค้า หรือทรัพย์สิน ราคาสูงหรือต่ำกว่าความเป็นจริง โดยเฉพาะกับกรรมการ/ผู้บริหาร/ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ หรือบริษัทในเครือ/บริษัทที่เกี่ยวข้องกับบุคคลเหล่านั้น เช่น บมจ. AAA ได้ลงทุนซื้อหุ้น 25% ของ บจก. GGG (เป็นบริษัทของผู้ถือหุ้นใหญ่ที่ถือหุ้นใน AAA ด้วย) ในราคา 125 ล้านบาท ทั้งที่มูลค่าตามบัญชีเพียง 60 ล้านบาท โดยอ้างว่ามูลค่าที่จ่ายเพิ่มเป็นค่าความนิยมของ บจก. GGG แต่ในเวลาต่อมาไม่นาน บมจ. AAA ต้องตั้งสำรองเผื่อขาดทุนจากการด้อยค่าหุ้น บจก. GGG ถึง 80 ล้านบาท และในปีถัดมา GGG ก็อาจทำธุรกิจขาดทุนจนกระทั่งอีกไม่นานก็เลิกกิจการ เป็นต้น ดังนั้นไม่ว่าจะจ่ายราคาที่สูงกว่าหรือต่ำกว่าความเป็นจริง เงินก็จ่ายไปแล้ว และการซื้อต่ำในตอนแรก ก็บันทึกกำไรจากการต่อรองแล้ว ราคาหุ้นก็ดันขึ้นไปอีกด้วย เท่ากับเจ้าของได้สองต่อ

อีกตัวอย่างของการไซฟ่อนเงิน ซึ่งในรูปแบบที่มักเกิดขึ้น ก็คือ เรื่องของการซื้อที่ดินในราคาสูง โดยมักให้เหตุผลว่าเพื่อเตรียมขยายโรงงาน เช่น ซื้อที่ดินจากบริษัทที่เป็นบริษัทที่ภรรยา/ลูก/คนที่เกี่ยวข้องของประธานกรรมการในบริษัทใหญ่ที่ถือหุ้นอยู่ ในราคา 750 ล้านบาท ซึ่งในเวลาต่อมา ปรากฏราคาประเมินของที่ดินแปลงดังกล่าวเพียง 245 ล้านบาท แถมบริษัทใหญ่ยังประกาศยกเลิกแผนขยายโรงงาน เท่ากับที่ดินที่ซื้อมาไม่มีการใช้ประโยชน์ตามที่บอกไว้ตอนซื้อ แต่ได้มีการผ่องถ่ายเงินของ บมจ. ออกไปยังบริษัทที่เกี่ยวข้องกับผู้บริหารเรียบร้อยแล้ว

2. การที่บริษัทจดทะเบียนอนุมัติเงินกู้หรือลดหนี้สิน หรืออำนวยความสะดวกในด้านใดด้านหนึ่งเกี่ยวกับการเงินของผู้ถือหุ้น ผู้บริหาร หรือการอนุมัติเงินลงทุนอย่างใดอย่างหนึ่งที่ไม่มีความชัดเจนว่าจะกู้เงินหรือลงทุนในเรื่องใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่บริษัทนั้น ๆ ยังอยู่ในระหว่างการฟื้นฟูกิจการ ในรูปแบบที่สองนี้ เช่นการที่ บริษัทจดทะเบียนให้กู้หรืออำนวยประโยชน์แก่ผู้ถือหุ้นใหญ่ในกิจการส่วนตัว แล้วขอให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นลงมติอนุมัติ และภายหลังปรากฏว่า การให้กู้หรืออำนวยประโยชน์ดังกล่าวทำให้บริษัทจดทะเบียนได้รับความเสียหาย เช่นปล่อยกู้แก่บริษัทส่วนตัวของนาย B ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ เป็นเงินประมาณ 1,500 ล้านบาท เพื่อลงทุนโครงการแห่งหนึ่ง ต่อโครงการดังกล่าวถูกเลื่อนไปไม่มีกำหนด บริษัทส่วนตัวของนาย B ก็ไม่สามารถชำระหนี้ได้ แล้วต่อมาบริษัทนาย B ก็ขอแปลงหนี้เป็นทุน ซึ่งก็เหมือนกับไปซื้อกิจการไม่ดีนั่นเอง

3. การซื้อหุ้นคืน บ่อยๆ โดยก่อนซื้อคืนอาจมีการทำราคาให้สูงขึ้น ผู้ถือหุ้นรายใหญ่หรือเจ้าของก็สามารถขายคืนบริษัทในราคาสูง ก่อนปล่อยให้ราคาตกเพื่อมาซื้อกลับรักษาสัดส่วนเสียงส่วนใหญ่ไว้ มักนิยมทำหลังการประชุมสามัญหรือการผ่านวาระการโหวตเรื่องสำคัญแล้ว เพราะช่วงนั้นไม่ต้องถือหุ้นเพื่อออกเสียง ในที่ประชุมผู้ถือหุ้นสามัญ การที่บริษัทมีเงินสดมากแต่ไม่เอาไปลงทุนขยายงาน ย่อมไม่เกิดประโยชน์กับผู้ถือหุ้น ลักษณะหุ้นแบบนี้มักมีช่วงขึ้นลงกว้าง ราคาผันผวนมาก หรือ High Price Volatility

4. การตกแต่งบัญชี โดยการตัดบัญชีหนี้เสียออก การทำ Big Bath  แบบนี้มักทำการปลอมแปลงเอกสาร/หลักฐาน รวมถึงเปิดบริษัทขึ้นมาทำธุรกรรมซื้อขายลวง เพื่อไซฟ่อนเงินออก โดยมีการโยกเงินออก เพื่อซื้อวัตถุดิบกับบริษัทดังกล่าว และจัดทำเอกสาร/หลักฐานปลอมขึ้นมา ทั้งที่ในความเป็นจริงไม่ได้มีการซื้อขายสินค้ากันจริง เป็นต้น วิธีการที่ผู้กระทำผิดมักใช้ปิดบังไม่ให้ผู้อื่นรู้ว่าตัวเองกำลังผ่องถ่ายเงินจากบริษัท ก็คือ การตกแต่งงบการเงิน หรือซุกซ่อนไว้ในการทำรายการที่เกี่ยวโยงกัน (เป็นการทำรายการระหว่างบริษัทกับบุคคลที่เกี่ยวข้องกับบริษัท เช่น ผู้บริหาร ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ผู้ที่เกี่ยวข้องและญาติสนิทของผู้บริหาร และผู้ถือหุ้นรายใหญ่ รวมถึงกิจการที่คนเหล่านี้ มีอำนาจควบคุมด้วย) แถมหลังๆ วิธีการที่ใช้มีความซับซ้อนขึ้น เช่น หา nominee เป็นชื่อคนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องมาทำรายการแทน ทำให้ไม่เข้าข่ายเป็นรายการที่เกี่ยวโยงกัน ตามรอยยากขึ้นไปอีก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น