วันเสาร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2560

การตีราคาสินทรัพย์กับผลกระทบทางการเงินในมุมทั้งงบการเงินและการเงินธุรกิจ


การตีราคาสินทรัพย์กับผลกระทบทางการเงินในมุมทั้งงบการเงินและการเงินธุรกิจ

มีข่าวล่าสุดไม่นานที่บริษัทเตรียมเข้าตลาดในไม่กี่วันนี้ได้มีการแจ้งถึงการเปลี่ยนนโยบายบัญชี จากการตีราคาใหม่เป็นราคาทุน มีบางคนบอกว่าที่เปลี่ยนเพราะมาตรฐานการบัญชีเขาเลิกใช้แล้วเลยเลิกตี  ต้องบอกก่อนว่าเข้าใจผิด มาตรฐานการบัญชี ฉบบัที่ 16 (ปรับปรุง 2558) เรื่อง ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ การวัดมูลค่าภายหลังการรับรู้รายการ ให้เลือกได้ โดยกำหนดว่ากิจการต้องเลือกใช้นโยบายบัญชีโดยใช้วิธีราคาทุนที่กำหนดไว้ในย่อหน้าที่ 30 หรือวิธีการ ตีราคาใหม่ตามที่กำหนดไว้ในนย่อหน้าที่ 31 ทั้งนี้ กิจการต้องใช้นโยบายบัญชีเดียวกันสำหรับที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ทุกรายการที่จัดอยู่ในประเภทเดียวกัน หมายความว่าให้ทำได้ ไม่ได้ยกเลิกครับ ผมอ่าน comment เห็นบางคนบอกว่ามาตรฐานบัญชีเลิกใช้เลยยกเลิก อันนี้เข้าใจผิดอย่างแรง ส่วนการจะเลือกหรือเปลี่ยนแปลงนโยบายบัญชี ไม่ใช่เรื่องผิดหลักบัญชี เพียงแต่ส่งผลในทางการเงินระยะยาวต่างกัน ทั้งดีและเสียทั้งยังอาจสะท้อนนัยบางอย่างได้

1.     มาพิจารณาเรื่องหลักการคิดค่าเสื่อมราคาก่อน ในทางบัญชีเพื่อสะท้อนผลการดำเนินงานให้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงเรื่องการจับคู่รายได้กับรายจ่าย (ปัจจุบันไม่ใช้กันแล้ว แต่มันคือแนวคิดแรกๆ ของ GAPP) นั่นคือเรื่องบัญชีแบบพื้นๆ ถ้าให้ลึกขึ้นคือหลักของ capital maintenace (ทุนรักษาระดับ) เรื่องนี้จะยาก อธิบายง่ายๆ สมมติถ้าบริษัทลงทุน 100 นำเงินไปซื้อเครื่องจักร 100 อายุ ใช้งานได้จริง 10 ปี ถ้าทำของขายได้กำไรมา 30 (ก่อนหักค่าเสื่อมแต่หักต้นทุนและรายจ่ายอื่นแล้ว) ถ้าไม่หักค่าเสื่อม จะแสดงกำไร 30 ถ้าจ่ายปันผล 100% ของกำไรจะจ่าย 30  สมมติขายสดจ่ายสดทั้งหมด งบการเงินแบบไม่หักค่าเสื่อมจะเป็นดังนี้

เครื่องจักร      100       =       ทุน     100

จะเกิดอะไรขึ้นในปีที่ 10 สินทรัพย์ จะด้อยค่าทันที 10 เพราะใช้งานต่อไม่ได้เพราะหมดอายุขาดทุนทันที 100 และกิจการก็ไม่เหลือเงิน หากจะต้องการผลิตขายต่อ ก็ต้องเพิ่มทุน 100 เพื่อเอาเงินไปซื้อเครื่องจักร 100 ใหม่ ถ้าเครื่องจักรราคาคงเดิมกิจการต้องเพพิ่มทุนทุกๆ 10 ปี โดยไม่ได้มี growth แต่เพียงเพื่อรักษาตลาดเดิมรักษากำไรคงเดิมไว้

2.     กรณีเดิมหากตัดค่าเสื่อมราคา กำไรจะเหลือ 20 (30 คือกำไรก่อนหักค่าเสื่อมแต่หักต้นทุนและรายจ่ายอื่นสมมติขายสดจ่ายสดทั้งหมด เงินจะมีอยู่ 30 จ่ายปันผล 100% ของกำไรจะจ่ายปันผล 20 งบการเงินแบบหักค่าเสื่อมจะเป็นดังนี้

เงินสด  10      เครื่องจักร 90       =       ทุน     100

ในปีที่ 10 สินทรัพย์จะเป็นเงินสด 100 ทุน 100 เครื่องจักรหมดพอดี หากพอใจตลาดเดิม ผลกำไรที่ได้ กิจการก็เอาเงินไปซื้อซื้อเครื่องจักร 100 ใหม่อีกครั้ง (reinvestment) แม้ไม่มี growth แต่สามารถดำรงอยู่อย่างต่อเนื่อง (going concern) นี่คือหลักสำคัญทำไม่ต้องหักค่าเสื่อมราคา ก็เพื่อให้กิจการสามารถมีสามารถดำรงอยู่อย่างต่อเนื่อง (going concern) และ รักษาตลาดเดิมรักษากำไรคงเดิมไว้

ตามแนวคิดของ capital maintenace (ทุนรักษาระดับ)

3.     จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเครื่องจักมีราคาสูงขึ้น หากใช้ราคาทุนตัด ผลคือสุดท้ายกิจการจะมีเงินสด (สินทรัพย์) ไม่เพยงพอในการ ลงทุนใหม่อีกครั้ง (reinvestment) ณ เวลานั้น ทำได้สองอย่างคือไม่กู้ก็เพิ่มทุน หมายถึงหนี้สินต่อทุนจะสูงขึ้นหรือเกิด dilution ดังนั้นมาตรฐานจึงให้เลือกการตีราคาใหม่ได้ ไม่ใช่เพียงใช้หลักราคาทุน

4.     การใช้ราคาทุนมีข้อดีคือเรื่องของหลักฐานอันเที่ยงธรรม (Faithfull Evidence) ชัดเจนในเรื่องที่มาที่ไป มีเอกสารทางบัญชี การตีราคาใหม่ความจริงมตรฐานก็พยายามใช้ขัดครับ แต่ราคาตลาดบางทีสินทรัพย์บางรายการก็พิสูจน์ยากชัดเจนได้ยากกว่าหลักราคาทุน เพราะราคาตีใหม่มักนิยมใช้ราคาอ้างอิง ไม่ใช่ราคาที่กิจการใช้ทรัพยากรแลกเปลี่ยนมา

5.     ในประเด็นทางบัญชีคงพอจะเข้าใจมากขึ้นนะครับ ทีนี้มาดูสั้นว่าถ้าตีขึ้นจะเกิดอะไร สมมติกรณีเดิม ปีที่2 ถัดมา เครื่องจักรมีราคา เพิ่มขึ้นจาก BV 90 เป็น 99 นั่นคือตีราคาใหม่เพิ่มขึ้น 9 (ถ้าซื้อสภาพใม่ต้องซื้อที่ 110)จะลงรายการดังนี้

เดบิต เครื่องจักร   9

เคดิต ส่วนเกินจากการตีราคาสินทรัพย์    9  >>> ลงในกำไรท่อน 2 OCI

ค่าเสื่อมราคาปีที่สองเท่ากับ 10+9/9 = 11 กำไรจะเหลือ 30-11 = 19  สมมติขึ้นราคาขายไม่ได้ รายยการอื่นคงที่ เงินจะมีอยู่ 30 จ่ายปันผล 100% ของกำไรจะจ่ายปันผล 19

สิ้นปีที่สอง งบจะแสดง ดังนี้  เงินสด  21 + เครื่องจักร 88  =  ทุน  100 เงินสดปีที่แล้ว มี 10 ปีนี้ เหลือ 11

พอถึงปีที่ 10 เงินสดจะเหลือ 109 ขาดเล็กน้อยเพราะปีแรกสำรองน้อย กู้เพิ่มหรือเพิ่มทุนไม่มาก

6.     ดังนั้นการใช้นโยบายตีราคาใหม่ในทางทฤษฏี เพื่อกันเงินสดในกิจการไว้ ถ้าคนเคยอบรมกับผม ผมเคยบอกว่ามันคือกรงขังเงินสดไว้ในกิจการเอาออกไม่ได้ในการปันผล อยากเอาออกก็เอาไปซื้อหุ้นคืนซะ หรือได้อีกหลายๆ วิธี แต่ไม่ใช่เรื่องดีเท่าไรต่อกิจการในระยะยาว

7.     เขียนอธิบายมายาวพอควรแล้ว สรุปผลทางการเงินการตีราคา PPE มักต้องการผลคือ

ก.    ทำให้ D/E ดูดีขึ้น เพราะเมื่อตีราคาเพิ่ม Equity เพิ่ม แต่หนี้ไม่เพิ่ม อันนี้หลอกตาได้ ขั้นที่ 1

ข.    ทำให้ BV เพิ่ม ส่งผลให้  P/BV ลดลงดูเหมือนราคาถูกลง อันนี้หลอกตาได้ ขั้นที่ 2

ค.    ข้อดีระยะยาว สะท้อนด้านการดำเนินงานการจ่ายปันผลใกล้สิ่งที่ควรเป็นที่สุด ระยะยาว ลดการเพิมทุนมากๆ ก่อหนี้มากๆ เพราะเก็บเงินสดไว้มากขึ้น

ง.    การที่กิจการกำหนดนบายครั้งงแรกว่าใช้วิธีการตีราคาใหม่ ย่อมแสดงว่า กิจการเชื่อว่าราคาสินทรัพย์ดำเนินงานเช่นครื่องจักร โรงงานจะมีแนวโน้มราคาเพิ่ม การย้อนกลับมาใช้ราคาทุนจะทำให้ระยะยาวเมื่อจบโคงการถ้าจะดำเนินการต่อ อาจต้องกู้มากขึ้น หรือเพิ่มทุน ในช่วงเวลาการดำเนินงานจากนี้ไป D/E จะเพิ่มขึ้นได้ จะกลายเป็นความเสี่ยงด้าน Solvency

จ.    สิ่งที่ทำได้เพื่อไม่ให้เกิด ข้อ ง. คือจ่ายปันผลในอัตราที่ต่ำลง เช่นควรจ่าย 50% ก็เหลือ 30% เป็นต้น ผลการจ่าย payout ที่ไม่สอดล้องกับ sustainable growth จะทำให้ส่งผลกับราคาหุ้นหรือมูลค่าหุ้นในเชิงลบมากกว่าบวก

8.        ในหลายกิจการที่ใช้ราคาทุน สิ่งสำคัญคือการรักษาระดับ D/E และอัตราการจ่ายปันผลในระดับพอเหมาะและนิ่ง จึงจะดีในระยะยาว ส่วนวิธีราคาตีใหม่ระดับ D/E จะต่ำกว่าและอัตราการจ่ายปันผลจะจ่ายอัตราสูงกว่าเพราะกันเงินไวแล้วผ่านกำไร

9.        การเปลี่ยนนโยบายบัญชีเพื่อโครสร้างการเงินถือว่าดี แต่หากเพื่อผลการแสดงกำไร ดูไม่ดีเพราะเป็นการทำ creative accounting แบบหนึ่ง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น