วันอังคารที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2560

ว่าด้วยเรื่องการเติบโต  Organic Growth กับ Sustainable Growth ตอนที่ 2


ว่าด้วยเรื่องการเติบโต  Organic Growth กับ Sustainable Growth ตอนที่ 2

การเติบโต  Sustainable Growth g(s)

Sustainable Growth นั้นได้เคยกล่าวไว้แล้วว่า g(s) = ROE *(1-b) เมื่อ b คืออัตราจ่ายปันผล บางตำราเรียกค่า (1-b) ว่า retainted rate เข้าใจง่ายๆ คือกำไรที่บริษัทเก็บไว้ใช้ขยายธุรกิจนั่นเอง ถ้าเก็บไว้มากก็จะกู้ได้เพิ่มขึ้นตามสัดส่วน D/E ที่มีเดิม การขยายเพิ่มในส่วน financing resources นี้คือแหล่งเงินทุนระยะยาวภายในที่สำคัญของการขยายตัวหรือการเติบโตของบริษัทนั่นเอง



Organic Growth หามาได้อย่างไรจากนิยามที่บอกไว้การเติบโตของบริษัทที่เติบโตด้วยสินทรัพย์ที่มีอยู่ของบริษัท นั่นคือค่า ROA นั่นเอง แต่ค่านี้ต้องปรับปรุงออกด้วยส่วนแบ่งกำไรหรือเงินปันผล และควรใช้งบเฉพาะของกิจการที่หักเงินลงทุนออกให้หมดเพื่อเหลือแต่ core business เท่านั้น ดังนั้นถ้ากล่าวว่าการเติบโตนี้อยู่ที่ผู้บริหารจะมีฝีมือขนาดไหนที่จะนำทรัพากรมาทำให้เกิดกำไร สรุปง่ายๆว่า g(o) = ROA



g(s) = ROE *(1-b) ---- > Sustainable growth

g(o) = ROA          ---- > Organic growh



ในสภาวะสมดุลแล้ว g(s) = g(o)

ROE *(1-b) = ROA   เมื่อให้  NI/E = ROE และ NI/A = ROA (ใช้ NI ไม่ใช้ EBIT ในกรณีนี้เพื่อถอดสมการได้ง่าย เป็น ROA แบบดั้งเดิม)

จะได้ ROA/ROE  =  1-b หรือ E/A = 1-b

จากสมการนี้บอกว่าอัตราการจ่ายปันผลที่เหมาะสมหรือเกิดสมดุลในระยะยาวคือ

b = 1 – E/A = D/A

หรือเท่ากับสัดส่วนหนี้ต่อสินทรัพย์ทั้งหมด เช่น บริษัทมีค่า D/E ที่ 1.5 เท่า D/A = 1.5/2.5 = 60% ควรจ่ายปันผลในระดับ 60% เป็นต้น นี่คือทางทฤษฎีการเงิน



ถ้าหากในสภาวะทั่วไปที่ g(s) ไม่เท่ากับ g(o)

g(s) = ROE *(1-b)     ……….(1)

g(o) = ROA               ……….(2)

นำเอาสมการ (1)/(2) จะได้  g(s)/g(o)  = ROE *(1-b)/ROA = (1+D/E)*(1-b)

 g(s) * E/A  = g(o) * (1-b) …(3)

จากสมการที่ (3) นี้ sustainable growth = organic growth * (1-b) / (E/A)

When   E = Equity and  A = Assets



หุ้นที่มีส่วนทุนมากๆ (ส่วนทุนนี้รวมทั้งหมดคือรวมกำไรสะสมด้วย = ส่วนของผู้ถือหุ้นทั้งหมด) ย่อมสามารถจ่ายอัตราปันผลที่สูงได้มากกว่า หุ้นที่มีสัดส่วนหนี้สูง (E/A ต่ำๆ) ซึ่งจะจ่ายอัตราปันผลได้ไม่มาก สำหรับธุรกิจในอุตสาหกรรมเดียวกันเพราะจะทำให้ g(o) ลดลง สูญเสียหรือแสดงถึงความเสียเปรียบทางการแข่งขันในโลกความจริงหาได้ยากที่ g(o) = g (s) เอาแค่ใกล้ๆ กันก็พอ



การเติบโตแบบ Organic Growth นั้นคล้ายกับ Sustainable Growth แต่ในด้านของ Sustainable Growth จะเน้นด้าน Capital Structure การเติบโตนี้ต้องรักษาระดับ D/E ให้คงที่เสมอ แต่ใน Organic Growth ไม่พูดถึง แต่ก็ไม่ใช่การขยายธุรกิจด้วยการก่อหนี้เพราะมุ่งใช้ทรัพยากรภายในที่มีอยู่ การก่อหนี้หรือเพิ่มทุน ถือเป็นการใช้ External Resources จึงบอกว่าคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน ตรงที่ Organic Growth เน้นทางด้าน Assets Side ส่วน Sustainable Growth เน้นทางด้าน Financing Side



สำหรับนักลงทุนระยะยาวแล้ว การหาหุ้นที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งในระยะยาว โดยเฉพาะแนวทาง VI แบบวอร์เรน บัฟเฟตต์ การหาหุ้นที่เติบโตแบบ Organic Growth สำคัญอย่างมาก แนวทางการหามูลค่าหุ้นด้วย EPV (Earning Power Value) ก็อยู่บนหลักคิดเรื่อง Organic Growth

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น