อัตราดอกเบี้ยและอัตราแลกเปลี่ยน
และตลาดหุ้น
ปัจจัยหลายประการเป็นตัวกำหนดค่าเงิน เช่น
1.
ความแตกต่างของอัตราเงินเฟ้อ
2.
ความแตกต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ย
3.
การมีบัญชีเดินสะพัดขาดดุล มีความหมายว่าประเทศได้ใช้จ่ายเงินในกิจการค้าระหว่างประเทศเกินขีดความสามารถในการหารายได้ของประเทศ
ค่าเงินจะอ่อนลง กลับกันจะแข็งขึ้น
4.
หนี้สาธารณะประเทศ ยิ่งมีระดับสูงยิ่งอ่อนลง
5.
เสถียรภาพทางการเมืองและความสามารถเชิงเศรษฐกิจ
การปรับตัวลงของตลาดหุ้นในปัจจุบันนี้
ที่กล่าวกันคือ การปรับสัดส่วนการลงทุน (ปรับ Portfolio) ในตลาด Emerging Market ทั่วทั้งโลก
(บทความที่เขียนเมื่อ 25/5/2561) Market Catialization ของไทย
เมื่อเทียบกับอเมริกาน้อยมากราว 1% กว่าๆ เท่านั้น แต่เขาลงทุนในตลาดไทย
น่าจะกว่า 1.0 TBht (ล้านๆ บาท) ถามว่าเขาจะขายจนหมดเลยไหม
ตอบเลยว่าไม่แน่นอน เพราะถ้าเราสังเกตทุกวันที่ขายก็มีซื้อ เพียงแต่สุทธิเป็นลบ
เปรียบเหมือนขายออก แล้วซื้อกลับในราคาต่ำกว่าที่ขาย แสดงว่ายังไงก็มีหุ้นใน Portfoio ดังนั้นจึงไม่ใช่การขายเพราะพื้นฐานเปลี่ยนทุกตัว
(บางตัวพื้นฐานอาจเปลี่ยน บางตัวไม่ใช่) จึงอย่าตระหนก แต่ให้กลับมายึดหลักการเสมอ
ดูงบการเงิน ดูภาพในระยะยาว
ถ้าค่าเงินบาทอ่อน ตปท.
จะขายหุ้นเสมอและหุ้นจะลง คิดง่ายๆ นะครับ ต้นปี ซื้อหุ้น 1 USD ที่อัตรา 31 Bth/USD ถ้าแนวโน้มบาทจะอ่อนลง
10% ถือหุ้นเฉยๆ จะขาดทุนในรูป USD 10% คือ 31/34 = 0.91 USD ดังนั้นเพื่อป้องกันเงินหายไปจากการถือหุ้นเงินบาท
ก็ขายก้อนเงินบาทจะอ่อนไปที่ 34 ถ้าขายที่ ค่าเงินที่ 32 (สมมติราคาหุ้นไม่เปลี่ยนแปลง
เพื่อง่ายต่อการคิดคำนวณ) จะได้เงินกลับไปที่ 31/32 = 0.97 USD ขาดทุน 3% ซึ่งดีกว่าถือไปเฉย
จะเห็นว่าพื้นฐานหุ้นไม่ได้เปลี่ยนแต่ค่าเงินปลี่ยน มุมมองคิดว่าอนาคตจะอ่อนลง
การขายก็จะเกิดขึ้น
ทฤษฎีของอัตราแลกเปลี่ยน ในที่นี้จะกล่าวถึง
2 แนวคิด
คือเงินเฟ้อกับอัตรดอกเบี้ยแท้จริง
1) แนวคิดทฤษฎี Purchasing Power Parity (PPP เป็นอีกทฤษฎีหนึ่งที่ถูกนำมาใช้ในการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยน
แนวคิดนี้กล่าวถึงการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนไว้ว่า
“อัตราแลกเปลี่ยนของเงินสกุลใดๆจะถูกกำหนดจากปริมาณสินค้าและบริการที่สนองความต้องการซื้อของประเทศโดยเปรียบเทียบกันระหว่างประเทศ
หรือสามารถแสดงในรูปของสัดส่วนของระดับราคาสินค้าและบริการระหว่างประเทศ โดยระดับราคาจะเป็นเครื่องมือสะท้อนถึงค่าของเงินของแต่ละประเทศ
ซึ่งก็คืออัตราแลกเปลี่ยนนั่นเอง” หรือ ทฤษฎีความเสมอภาคของอำนาจซื้อ
(Purchasing Power Parity : PPP) การใช้ทฤษฎีนี้ในการอธิบายอัตราแลกเปลี่ยนต้องตั้งข้อสมมติว่า
1) ระบบเศรษฐกิจไม่มีภาพลวงตาทางการเงิน คืออุปสงค์และอุปทานของสินค้าทุกชนิดในแต่ละประเทศเป็น
Homogeneous degree zero
2) การเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินไม่มีผลต่อระบบเศรษฐกิจ หรืออัตราแลกเปลี่ยนที่คำนวณจากค่า PPP ไม่กระทบโดยนโยบายการเงิน
เขียนเป็นความสัมพัน์ได้ดังนี้ S1/S0= (P1/P0)
/ (P*1/P*0) หรือ คิดง่ายๆ FX = k (P/ P*)
เมื่อ
S1 และ S0 คือ Spot Rate ปีที่ 1 และปีปัจจุบัน (0) ส่วนP คืออัตราเงินเฟ้อประเทศ P* อัตราเงินเฟ้อประเทศเปรียบเทียบ
2) แนวคิดทฤษฎี Monetary Approach ด้วยการพิจาณา real interest rate differential อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงเปรียบเทียบตามแบบจําลองนี้
ถ้าอัตราดอกเบี้ยที่ แท้จริงไม่ได้ดุลยภาพ อัตราแลกเปลี่ยนจะห่างจากอัตราแลกเปลี่ยนดุลยภาพระยะยาว
ถ้าอัตรา ดอกเบี้ยที่แท้จริงภายในประเทศต่ำกว่าต่างประเทศ
ดังนั้นอัตราแลกเปลี่ยนที่แท้จริงของเงินตรา ภายในประเทศจะมีค่าต่ำเกินไป (undervalued)
เมื่อเทียบกับอัตราแลกเปลี่ยนดุลยภาพระยะ ยาว
ก็จะมีการคาดคะเนการแข็งค่าของอัตราแลกเปลี่ยนที่แท้จริงของเงินตราภายในประเทศชดเชย
เขียนเป็นความสัมพัน์ได้คล้ายแบบแรกดังนี้ S1/S0= (r1/r0)
/ (r*1/r*0) หรือ คิดง่ายๆ FX = k (r/ r*)
เมื่อ r คือ อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง
real
interest rate = norminal rate – inflation rate
ความจริงมีอีกหลายทฤษฎี
แต่ที่นิยมใช้อ้างอิงคือสองเรื่องนี้
Norminal
rate ใช้อัตรา Prime rate is
a commonly used, short-term interest rate in the banking system of the United
States. ของอเมริกาอยู่ที่ 5%
U.S. Prime Rate = (The Fed Funds Target Rate + 3) The Fed Funds Rate อยู่ราวๆ 2%
ของไทยอัตราดอกเบี้ยระหว่างธนาคารอยู่ที่
1.5%
อัตราเงินเฟ้อไทยอยู่ที่
0.7% อเมริกา 2.5%
การคาดการณ์แนวโน้มเงินเฟ้อของไทยจะสูงขึ้นไปที่ราวๆ
1% ของอเมริกาจะลดลงไปที่ราว 2.2-2.3% ดังนั้นในมุมมองสามถึงหกเดือนอัตราดอกเบี้ยแท้จริงไทย
จะห่างจากอเมริกามากขึ้น
ถ้าพิจารณาดอกเบี้ยจะเห็นชัดว่า
อเมริกายังมีแนวโน้มปรับดอกเบี้ยขึ้น ขณะที่อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มลดลง
จึงทำให้ทั้งในแง่อำนาจซื้อเปรียบเทียบและอัตราดอกเบี้ยแท้จริงดีกว่าไทย ดังนั้นระยะสั้นๆใน
3-6 เดือนค่าเงินจะยังค่อยๆอ่อนค่าลงได้
แต่อัตราดอกเบี้ยอเมริกาไม่สามารถขึ้นสูงได้นานเพราะจะกดดันการเติบโตทางเศรษฐกิจได้หากสูงเกินไป
นอกจากนี้ ดังที่กล่าวไว้ตอนต้น การดุลบัญชีเดินสะพัด (ดุลการค้าเป็นส่วนประกอบสำคัญส่วนหนึ่ง)
ระดับหนี้สาธารณะ และเสถียรภาพทางการเมืองและความสามารถเชิงเศรษฐกิจ
การทำสงครามการค้าในปัจจุบัน
เพราะอเมริกาต้องการพลิกการขาดทุนดุลการค้าให้กลับมาบวก แต่ระยะยาวผมเชื่อว่าจะมีผลเสียต่ออเมริกามากกว่าบวก
จะต่อเสถียรภาพทางความสามารถเชิงเศรษฐกิจ
ด้วยเหุตปัจจัยหลายๆ
อย่างและประกอบกับแนวคิดทางหลักวิชาการสนับสนุน ทำให้เชื่อได้ว่าในระยะสามถึงหกเดือนข้างหน้าเราอาจจะยังเผชิญแรงกดดันจากการอ่อนค่าเงินได้
และจะค่อยๆลดความรุนแรงลง เมื่อแรงกดดันค่าเงินหมด ตลาดหุ้นจะกลับมาอีกครั้งด้วยภาพใหญ่
เศรษฐกิจไทยยังดูดีอยู่ในปีต่อๆไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น