ความสัมพันธ์เชื่อมโยงงบการเงิน
Business
Model Canvas, Moats และการตลาด 4Ps 4Cs
4Es
ในทางด้านการตลาด
เชื่อว่าหลายคนรู้จัก 4Ps กันดีคือ Product,
Price, Place, Promotion ซึ่งคนที่ทำงานสายการตลาดทราบดีว่า 4Ps
ใช้ในเป็นแนวการวางแผนทางการตลาด ที่รู้จักในชื่อ Marketing
Mixed Strategy ปัจจุบัน ได้มีการขยายจาก 4 Ps เป็น 7Ps คือเพิ่ม Packing, Positioning,
People เข้าไปในด้าน 4Ps เพื่อให้ครอบคลุมในการวางแผนการตลาดให้ครอบคลุมขึ้น
นอกจาก
4Ps แล้ว ก็ได้มี 4Cs ที่ควบคู่ประกอบด้วย ซึ่ง หากนำ
ทั้ง 4Ps & 4Cs มาควบคู่กันทุกครั้งก็จะวางแผนการตลาดได้พอๆ
กับ 7Ps ซึ่ง 4Cs ได้แก่ Customer,
Cost, Convenience, Communication หากเรานำมาเขียนจับคู่ให้เกิดความเชื่องโยงจะได้ดังต่อไปนี้
Product
--------- > Customer สินค้าต้องตอบสนองความต้องการลูกค้า (People)
Price
------------ > Cost การกำหนดราคาและการวางกลยุทธ์ราคา
ต้องพิจารณาต้นทุนสินค้า
Place
----------- > Convenience ช่องทางการจัดจำหน่ายที่จะทำให้สินค้าไปถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายต้องให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย
มีความสะดวกในการเข้าถึงได้ง่าย
Promotion
---- > Communication การส่งเสริมการจำหน่ายคือการสื่อสารถึงกลุ่มเป้าหมาย
ส่วนมากมักจะไม่พ้นการโฆษณา (Advertising) การลด แลก แจก แถม
ก็รวมในการทำ Promotion เพราะเป็นการสื่อสารให้คนรู้จักสินค้า
ในยุคโลกดิจิทัล
ได้มีนักการตลาดบางท่านนำเอา 4Es มาใช้ในการวางแผนด้วย
ซึ่งได้แก่
Experience
ลูกค้าจะตัดสินใจซื้อสินค้าได้เร็วขึ้น หากมีประสบการณ์ที่ดี
หรือได้เห็นว่าสามารถใช้ได้ผลจริง
การสร้างประสบการณ์จะทำให้สินค้าประสบความสำเร็จเร็วขึ้น
เช่นร้านอาหารไม่ใช่เพียงมีอาหารอร่อย แต่ต้องมีที่จอดรถพอ พนักงานบริการดี
ไม่มีแมลงสาปเดินเล่น หรือหนูวิ่งในร้าน ซึ่งสินค้าก็อาจรวมถึงการบรรจุเรื่อง packaging
ที่ดี ไม่ใช่บรรจุในกล่องลวกๆ แกะห่อยาก เป็นต้น
Exchange
การที่ลูกค้ายอมจ่ายซื้อหรือแลกเปลี่ยนนั่นเอง
การสร้างคุณค่าให้กับแบรนด์ต้องตอบผู้บริโภคให้ได้ว่าแบรนด์มีคุณค่าที่แตกต่างจากยี่ห้ออื่นๆ
อย่างไร เพื่อแลกกับเงินที่ลูกค้ายินดีจะจ่าย ไม่ใช่เพียงราคาถูกกว่าเท่านั้น
แต่จ่ายเพื่อแลกสิ่งที่สินค้านั้นตอบโจทย์ได้
Everywhare
ด้วยการแข่งขันที่สูงขึ้น
กิจการจึงมีหน้าที่ทำให้สินค้าและบริการสามารถอยู่ทุกที่ที่ผู้บริโภคสะดวกและเข้าถึงง่ายที่สุด
การแข่งขันในโลกยุคใหม่คือใครเข้าถึงลูกค้าได้มากกว่ากัน ยิ่งในยุคดิจิทัลแล้ว
ลูกค้าอยู่ได้ทุกที่
Evangelism
รูปแบบการสื่อสารแบบใหม่คือทำให้กลุ่มเป้าหมายนั้นเข้าไปมีประสบการณ์กับสินค้าแล้วมีความรู้สึกชื่นชอบอยากที่จะบอกต่อเพื่อให้คนอื่นๆได้เข้ามาสัมผัสกับประสบการณ์นี้ร่วมกันโดยการบอกต่อ
ยิ่งมีช่องทาง Social Media ทำให้การบอกต่อในประสบการณ์สินค้ากระจายได้เร็ว
ดังนั้นถ้าเชื่อมโยง
4Ps 4Cs 4Es เราจะได้ภาพดังนี้
Product
– Customer – Experience
Price
– Cost – Exchange
Place
– Convenience – Everywhere
Promotion
– Communication – Evangelism
1. Product – Customer – Experience สินค้า/บริการต้องนำเสนอให้ตรงความต้องการลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย
และให้ลูกค้าได้ประสบการณ์ที่ดี ถ้ามองในด้าน Business Model Canvas คือ ต้องมี V-Value Proposition C-Customer ลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย
และ R-Resource ในด้านที่เชื่อมโยงกับงบการเงินคือ
รายการที่เกิดนั้นจะแสดงในรายการ ลูกหนี้การค้าและสินค้าคงเหลือ (Account
Receivable and Inventory) ส่วน Resource คือ ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ ตลอดจนวัถุดิบ
นักการตลาดอาจจะสร้างกลุ่มลูกค้า และสินค้าที่ตรงตามความต้องการได้ แต่ถ้าขาดการบริหารที่ดี
ขายของได้แต่เก็บเงินไม่ดี ลูกค้าไม่มีคุณภาพหรือไม่มีการซื้อต่อเนื่อง ไม่มี Brand
Loyalty การหมุนเวียนของลูกค้าจะไม่ดี
และจะโยงกับสินค้าโดยปริยายเพราะถ้าของขายไม่ดีขายไม่ออก สินค้าก็จะค้างสต๊อกมาก
รอบหมุนเวียนจะต่ำ นอกจากนี้อาจบอกถึงปัญหาด้านกระบวนการผลิตหรือการวางแผนการผลิตที่ไม่มีประสิทธิภาพ
ส่วนการได้สินค้าหรือบริการนั้นการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีเพื่อใช้ในการผลิตคือสิ่งสำคัญที่ผู้บริหารต้องตัดสินใจลงทุนจัดหามาเพื่อใช้ในการผลิตให้เกิด
Product/Service
ควรลงทุนอะไร เท่าไรเพื่อให้ขายได้คุ้มค่าในการลงทุน
เป็นเรื่องของการตัดสินใจลงทุน Capital Budgeting (NPV, IRR, Payback เป็นต้น)
เมื่อวางแผนการตลาด
หรือการวิเคราะห์บริษัทใดๆ ไม่ใช่เพียงมองสรุปว่า Business Model ดี แต่ต้องเชื่อมโยงว่าบนฐานลูกค้าของบริษัทนั้นมีคุณภาพหรือไม่
ซึ่งเครื่องมือทางการเงินที่ช่วยบ่งบอกคือ A/R Turnover, Inventory
Turnover และ Asset Turnover ลูกค้าที่มีการซื้อซ้ำ
ซื้อต่อเนื่อง AT จะดีและสม่ำเสมอ เพราะหากลูกค้ามี Expereience
ที่ดี ย่อมมีการซื้อซ้ำ (Reused) หรือเกิด Brand
Loyalty ยอดขายจะมั่นคงและฌติบโตต่อเนื่อง
ดังนั้นการตลาด-ลูกค้า-สินค้า-ขาย จนถึง Business Model จะเห็นได้ผ่านงบการเงินเสมอ
และอัตราส่วนการเงินที่เกี่ยวข้อง
โครงสร้างงบการเงินต้องบ่งชี้สัมพันธ์กันอย่างแยกไม่ออก ถ้า story ดี แต่ภาพงบการเงินไม่ใช่ แสดงว่าเกิดความผิดพลาด ในด้านการบริหารจัดการ
ผู้บริหารต้องพิจารณาลงรายละเอียดว่า สินค้า กระบวนการผลิต หรือการจัดซื้อ
รวมถึงลูกค้ากลุ่มใดหรือใครที่เป็นปัญหา สินค้าใดต้องปรับหรือต้องวางแผนใหม่
2. Price
– Cost – Exchange เราได้เห็นความสัมพันธ์ Product –
Customer – Experience และความเชื่อมโยงกับงบการเงิน
การประยุกต์ใช้ในการวางแผน และการวิเคราะห์กิจการ นอกจาก P-C-E แรกแล้ว ตัวถัดมาก็เชื่อมโยงกับงบการเงินเช่นกัน ในด้านบัญชีการเงินก็คือ Price
– Revenue (Sales) ยอดขาย Cost – Cost of Goods Sold ต้นทนขาย ในทางบัญชีเมื่อไรที่เกิดการแลกเปลี่ยน (Exchange) การบันทึกเหตุการณ์แลกเปลี่ยนก็จะเกิดขึ้นตามหลัก Accrual Basis (หลักเกณฑ์คงค้าง)
หน้าที่นักการตลาดคือการกำหนดราคาที่ทำให้ลูกค้าเกิกการตัดสินใจแลกเปลี่ยนเพราะคุ้มค่ากับคุณค่าที่ลูกค้าเห็นว่าเหมาะสมกับราคาที่นำเสนอ
ซึ่งในส่วนนี้ใน Business Model คือ R-Revenue Stream
และ C-Cost Structure ถ้ามองในด้านบัญชีการเงิน
งบการเงิน-งบกำไรขาดทุน จะบอกให้ทราบว่าในช่วงเวลาที่นำเสนองบการเงิน
ขายแล้วมีกำไรขั้นต้น (Gross Margin) เท่าใดคุ้มหรือไม่
ในด้านการลงทุน อัตรากำไรขั้นต้นนี้เป็นส่วนสำคัญอีกตัวหนึ่งที่นักลงทุนให้น้ำหนักในการตัดสินใจลงทุนว่าน่าสนใจมากน้อยเพียงใด
ในด้านการลงทุน จะสนใจภาพรวมว่าจะกี่สินค้า กี่ผลิตภัณฑ์ก็ตาม
ขายแล้วมีกำไรขั้นต้นเท่าใด ในด้านบัญชีบริหาร เป็นหัวข้อหนึ่งคือเรื่อง Strategic
Cost Management การบริหารต้นทุนเชิงกลยุทธ์
คือการใช้ข้อมูลด้านต้นทุนมาเพื่อการกำหนดกลยุทธ์กิจการ
รวมไปถึงการใช้และการจัดการข้อมูลเพื่อการตัดสินใจขององค์กร นักลงทุนอาจสนใจเพียง output
คือต้นทุนขาย ต้นทุนสินค้า
แต่ในกระบวนทางการบัญชีมีมากกว่าที่หลายคนเข้าใจ ยกตัวอย่างง่ายๆ
เช่นค่าเสื่อมราคา ปกตินักลงทุนทั่วไปคิดว่าเป็นค่าใช้จ่ายคงที่
เกิดแล้วตัดเป็นค่าใช้จ่ายทั้งหมดในงวด ภาพใหญ่ๆ นั้นใช่
แต่ในรายละเอยดนั้นในกระบวนการผลิตและทางบัญชี
ค่าเสื่อมราคาสินทรัพย์จะรับรู้เป็นค่าใช้จ่ายทั้งหมดเมื่อค่าเสื่อมราคาสินทรัพย์นั้นไม่ใช่สินทรัพย์ที่ใช้ในการผลิต
(อุปกรณ์สำนักงาน รถยนต์ ตึกสำนักงานใหญ่) แต่ถ้าเป็นพวก เครื่องจักร โรงงาน
ที่ใช้เพื่อการผลิต จะถูกปันส่วนเข้าเป็นต้นทุนสินค้าก่อน
หมายความว่าจะเป็นส่วนของสินค้าคงเหลือ และเมื่อสินค้าถูกขาย
ค่าเสื่อมราคาที่ฝังในสินค้าถึงถูกตัดเป็นค่าใช้จ่ายออกไป ปกติรอบหมุนเวียนสินค้าจะไม่ยาวนาน
เช่น 60-70 วัน และสินค้าคงเหลือที่เป็นสินค้าที่ผลิตและยังไม่เป็นสัดส่วนไม่มาก
จึงเปรียบได้ว่าค่าเสื่อมราคาส่วนที่ใช้ผลิตนั้นตัดจ่ายไปในงวดบัญชีนั้น
ลองคิดดูนะคับว่าถ้าสินค้ารอบยาวๆ สัดส่วนสูงๆ จะมีความเสี่ยงหรือไม่เพียงใด
แต่ในทางบัญชีก็ป้องกันกรณีที่เอาต้นทุนค่าใช้จ่ายประจำไปซ่อนในสินค้ามากๆ
โดยสินค้าคงเหลือต้องตีมูลค่าลงถ้ามูลค่าสูงเกินกว่าราคาตลาดหรือที่คาดว่าจะขายได้สุทธิ
ดังนั้นบิดเบือนไปซุกมากๆ ก็ใช่ว่าจะรอด
ในด้านบัญชีบริหารต้นทุนเชิงกลยุทธ์นั้น
การผลิตในยุคปัจจุบันซับซ้อนกว่าเมื่อก่อนมาก ไม่ใช่แค่มีวัตถุดิบ
มีคนงานเป็นสัดส่วนใหญ่ ปัจจุบันและในอนาคต เราใช้เครื่องจักรใช้หุ่นยนต์
เปลี่ยนจากยุค Labor Intensive เป็น Capital
Intensive ใช้เครื่องจักรและหุ่นยนต์มากขึ้น ตลอดจน Software
ต้องตัดค่าเสื่อมราคา ซึ่งจะเป็นค่าใช้จ่ายคงที่จำนวนมากในแต่ละงวด
และบริษัทใช้เครื่องจักรใช้หุ่นยนต์ในการผลิตสินค้าร่วมกันหลากหลาย
การปันส่วนค่าใช้จ่ายผลิตเช่นค่าเสื่อมราคาแบบเดิมที่ยึดปริมาณการผลิตเป็นเกณฑ์ปันส่วนอาจไม่ดีพอ
เพราะถ้าปันส่วนไม่เหมาะสม ทำให้ Cost บิดเบือน
การกำหนดราคาหรือ Price ผิดไป การแลกเปลี่ยน ( Exchange)
ก็ไม่เกิดหรือเกิดได้น้อย หรืออาจทำให้ได้ Gross Margin ไม่เหมาะสม ก็กลับไปกระทบที่ราคาหุ้นได้
ในด้านการบริหารต้นทุนเชิงกลยุทธ์
(Strategic
Cost Management) มีการเสนอแนวทางการปันส่วนต้นทุนที่น่าจะเหมาะสมกว่าแบบเดิมเรียกว่า
Activity Based Costing (ABC) แทน Traditional Based
Costing (TBC) ใช้กิจกรรมเป็นตัวปันส่วน หรือเรียกว่าใช้กิจกรรมเป็น
Cost Driver แทน Volume การผลิตเพียงอย่างเดียว
ซึ่งเรื่องนี้ยาวมากคงบอกไม่หมดในตอนนี้ แต่จะเห็นได้ว่าเพียง Price – Cost
– Exchange หากมองให้ดีไม่ใช่เพียงมิติราคากับต้นทุนทางการวิเคราะห์ทางการเงิน
แต่ในด้านการบริหาร การตลาด การลงทุน โยงใยกันหลายทอด
ในการลงทุนเราสนใจในผลสุดท้ายเป็นสำคัญ เพราะคือสิ่งที่ได้จากการตัดสินใจ
แต่ในการบริหารแล้ว การเลือกและรู้จักใช้ข้อมูลต้นทุนตลอดจนการจัดการข้อมูลต้นทุน
สามารถนำมากำหนดทิศทางและกลยุทธ์เพื่อความได้เปรียบการแข่งขันทางธุรกิจ
และผลได้ทางธุรกิจนี้แหละ จะทำให้นักลงทุนในฐานะคนใช้ข้อมูลบอกว่าควรลงทุนหรือไม่
3. Place
– Convenience – Everywhere เราได้กล่าวมา 2 กลยุทธ์ในการใช้ Marketing
Mix Strategy แล้ว ต่อมาก็คือการวางแผนทางการการใช้ช่องทางจำหน่าย
ในส่วนที่โยงใยกับ Business Model คือ Distribution
Chanel ส่วนความเกี่ยวข้องในงบการเงินมักจะไม่ใช่รายการชัดเจน
แต่จะมีรายการด้านนี้อยู่ คือค่าใช้จ่ายในการขาย การจำหน่าย รวมถึงค่าใช้จ่ายด้าน Logistic
ในส่วนการขายสินค้าให้ลูกค้า หรือค่าใช้จ่ายในส่วน Supply
Chain ส่วนขายนั่นเอง ในปัจจุบันอาจรวมไปถึงค่าใช้จ่ายของ Application
ต่างๆ ที่ทำให้เข้าถึงลูกค้าในการก่อให้เกิดการสั่งซื้อ
ในด้านบัญชีการเงินเราอาจไม่เห็นชัดเจน เราจะรวมไปในการวิเคราะห์สัดส่วน
ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารว่าเปลี่ยนแปลงเพิ่ม/ลดมากน้อยเพียงใด มีนัยหรือไม่
รายการส่วนนี้กระทบโดยตรงต่อ Operating Margin (OM) ในทางบัญชีบริหารผู้บริหาร
หากมีการจัดการข้อมูลแต่แรกสามารถนำเอาข้อมูลเหล่านี้มาบรหารจัดการในการตัดสินใจ
ในปัจจุบันเราจะรู้จักในชื่อ Big
Data หรือ Data Science ถ้าเราจับคู่รายการค่าใช้จ่ายที่เกิดในช่องทางการจำหน่าย
ซึ่งแยกในระดับหน่วยงานหรือผลิตภัณฑ์ แล้วหาความสัมพันธ์ของรายจ่ายที่เกิดจาก Logistic Value Chain นั้น
กับการเปลี่ยนแปลงยอดขายที่เพิ่ม/ลด ผู้บริหารสามารถที่จะทราบได้ว่า Distribution Channel นั้นๆ
มีประสิทธิผลเพียงใด
ตอบโจทย์ในการเป็นช่องทางที่ทำให้เกิดความสะดวกต่อลูกค้ากลุ่มเป้าหมายหรือไม่
บางครั้งกิจการคิดว่ายอดรายได้ที่เพิ่มขึ้นนั้นดีแล้ว
กลยุทธ์ที่ผ่านช่องทางนั้นเป็นการวางแผนที่ดี แต่ถ้าหากค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับยอดขายที่เพิ่มขึ้นดาจไม่ได้ดีดังหวัง
ในการวิเคราะห์ภาพรวมเราจะเห็น OM (Operating Margin)
ลดลง ในด้านการลงทุนจะสรุปว่ากิจการมีประสิทธิภาพการทำกำไรลดลง
แต่ในทางบริหารหน้าที่ของฝ่ายจัดการคือต้องหาคำตอบและวางแผนปรับปรุงให้ดีขึ้น
สิ่งที่เป็นปัญหาในปัจจุบันคือ ฝ่ายบริหารมองเพียงภาพรวมเหมือนนักลงทุนหรือผู้ถือหุ้นมอง
แต่ไม่จุดการวางระบบการจัดเก็บข้อมูลทางบัญชีให้สามารถนำมาช่วยในการตัดสินใจ
นักบัญชีก็ขาดมุมมองเชิงบริหาร มุ่งเพียง ลงรายการ ปิดงบการเงิน
สรุปรายงานทางบัญชีการเงินในแบบเดิมๆ เพื่อการตรวจสอบบัญชีเท่านั้น
ทำให้ขาดการนำข้อมูลทางการเงินมาใช้ในการวางแผนการตลาดอย่างเต็มที่
การออกแบบการจัดเก็บข้อมูลเพื่อนำมาใช้ตัดสินใจการวางแผนการตลาดหรือการบริหาร
ไม่มีรูปแบบตายตัว
แต่ต้องจัดเก็บแยกแยะเพื่อให้ได้ข้อมูลเพื่อตัดสินใจได้ตรงตามกลยุทธ์มากที่สุด
ในอดีตอาจเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก แต่ในยุคปัจจุบันที่มีคอมพิวเตอร์ช่วย
จะตัดปัญหาออกไปได้เพียงออกแบบและวางระบบการจัดเก็บข้อมูลเพื่อนำไปสู่การทำ Data Science ก็จะได้ประโยชน์ต่อการตัดสินใจ
4. Promotion
– Communication – Evangelism สำหรับการวางแผนการตลาดโดยการใช้ Marketing Mix Strategy - 4Ps 4Cs 4Es มาถึงเรื่องสุดท้าย
คือการส่งเสริมการจำหน่าย แผนการตลาดนี้ส่วนมากคือการโฆษณา (Advertising) แต่รวมถึงการลด แลก แจก แถม
ทุกแบบ การส่งเสริมการจำหน่ายในบางแห่งก็มีทั้งแลกแสตมป์ สะสมแต้ม ชิงรางวัล
แต่ในทุกวิธีการในทางบัญชีต้องรับรู้เป็นค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น เพียงแต่ความซับซ้อนของรายการส่งเสริมการจำหน่ายที่ที่มากรูปแบบ
ทำให้มีการนำมาตรฐานบัญชี IFRS 15 Revenue
Contract เพื่อให้มีการวัดมูลค่าการรับรู้รายได้-รายจ่ายให้ตรงตามหลักบัญชีมากขึ้น
การใช้การส่งเสริมการจำหน่ายที่กล่าวมา
ไม่ว่าจะใช้รูปแบบใด สุดท้ายผลของการทำกิจกรรมจะแสดงในค่าใช้จ่ายการตลาด ในทางด้าน
Business Model Canvas คือ
Customer Relationship กิจการต้องวางรูปแบบการสื่อสารกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
ในทางการตลาดปัจจุบันคือ CRM (Customer
Relationship Management) ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากกิจกรรมนี่จะถือเป็นค่าใช้จ่ายของงวด
กิจกรรม CRM ก็คือ
Communication ที่บริษัทบอกไปยังกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
การสื่อสารในปัจจุบันได้มีการใช้สื่อทาง
Social Media เป็นช่องทางการกระจายข่าวสาร
จนมีการพัฒนาแนวทางการตลาดในแบบใหม่คือ Digital
Marketing แต่ในทางบัญชีอาจบันทึกเพิ่มเติมขึ้นเช่นการมีสิทรัพย์
ที่อาจอยู่ในรูป Platform หรือ
Application Software ต่างๆ
รายการเหล่านี้ในทางบัญชีต้องตัดค่าเสื่อมหรือจำหน่าย
ซึ่งจะเข้าไปแสดงรวมในรายการค่าใช้จ่ายในการขาย
เช่นเดียวกับที่กล่าวมาก่อนหน้าในเรื่อง Place-Convenience-Everywhere หากมีการวางระบบการจัดเก็บและนำมาสู่การทำ
Data Science จะช่วยในการวางแผนการตลาดได้มีประสิทธิผลต่อกลยุทธ์องค์กร
ในรูปแบบทั้ง
4Ps 4Cs 4Es
กับความสัมพันธ์กับการบัญชีและ Business Model Canvas แล้ว
ยังมีเรื่อง Moats ที่เชื่องโยงด้วยคือ
1. Brand – อุตสาหกรรมที่แข่งขันสูง เป็น Monopolistic or Differentiation Market
2.
Network Effect - Evangelism
3.
Economy of Scales -Resource - Assets
4.
Regulation - บางอุตสาหกรรมมีข้อจำกัดในการเข้า มีกฎระเบียบ
5.
Intellectual-Innovation and/or Switching Cost – ช่วยปกป้องการรบกวน
Disruption