Moats & Five Forces
Moats หรือปราการป้องกันธุรกิจ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ Chalie
Munger คู่หูด้านการลงทุนของ Warran Buffett ได้กล่าวไว้ว่าเป็นส่วนสำคัญในการพิจารณาการเลือกบริษัทลงทุน
บริษัทใดมี Mosts ที่แข็งแกร่งจะดีมาก
เพราะทำให้การเติบโตคงได้ยาวนาน ในทางการเงินการเติบโตสูงไม่ดีสู้การเติบโตที่แข็งแกร่ง
เปรียบเหมือนการฝากเงินอัตาดอกเบี้นสูงๆ แต่มีเพียงชั่วคราวปีสองปี สู้ไม่ได้กับอัตราดอกเบี้ยปานกลาง
แต่จ่ายนานนับสิบปี เช่นตราสารหนี้ระยะสั้นที่ให้ดอกเบี้ยร้อยละ 12% ต่อปี สามเดือน พอครบกำหนดก็จ่านต้นจ่ายดอกเบี้ยคืน เราก็ต้องเอาเงินมาลงทุนที่อัตราตลาดใหม่
ไม่เช่นนั้นต้องหาตราสารดอกเบี้ยสูงๆ ซึ่งมีไม่มากแน่นอน ถ้าหาง่ายแสดงว่าตลาดให้ดอกเบี้ยสูงอยู่แล้ว
และกิจการที่ให้ดอกเบี้ยสูงล้วนเป็นบริษัทฐานะการเงินไม่แกร่ง วันนี้อาจไม่เจ๊ง แต่วันข้างหน้าไม่มีใครรู้
อาจไปลงทุนวันเจ๊งพอดีก็ได้ สมมติเราได้อัตราดอกเบี้ยตราสาร 4% ที่มีการจัดอันดับลงทุนกลางๆที่รับได้อายุตราสาร 3 ปี
ถ้ามีเงินลงทุน 100 บาท วันนั้นตัดสินใจลงทุน อัตราดอกเบี้ยตลาดอยู่ที่
2% ถ้าตัดสินใจเลือก 12% ได้ดอกเบี้ยสูงสามเดือน
เมื่อครบกำหนดได้เงิน 100 + 100*12%*3/12 = 103 แล้วเอาเงินที่ได้ลงทุนในอัตราตลาดเท่านั้น
(หลักการเปรียบเทียบต้องไม่ถือว่า reinvestmemt ที่อัตราสูงเดิมได้หากอายุต่างกัน
เพราะหากคิดเช่นนั้นต้องคิดทางเลือกหากเกิดการผิดนัดชำระด้วย หรือ Default ในเวลา สามปีเท่ากัน ตราสาร 4% จะได้เงิน (100*(1+0.04)3)
= 112.5 ขณะที่แบบแรกจะมีมูลค่าเท่ากับ 108.8 มาจาก
103*(1.02)2.75 บางคนคิดว่าทำไมไม่เอา 103
ลงต่อในตราสาร 4% อายุ 3 ปีละ ถือว่าวันนั้นให้เลือกแล้ว ไม่ลงทุนตราสารคนอื่นลงทุนหมดไปแล้ว
ถ้าไปซื้อในตลาดต้องซื้อ premium ซึ่งผลตอบแทนจะเป็น
2% ตามอัตราตลาด ส่วนมากคิดไม่ถึงว่าแบบกลางๆ จ่ายนานๆ จะดีกว่า
อย่าลืมพลังของการทบต้น อะไรที่ไม่ผันผวน ในเวลานานจะให้มูลค่ายิ่งสูง กิจการที่เติบโตสูงๆ
มักยากที่จะรักษาการเติบโตขนาดนั้นได้ยาวนาน ดังนั้นการมี Moats จึงสำคัญมากต่อการรักษาการเติบโตอย่างต่อเนื่องในระยะยาว (Sustainable
Growth) สิ่งที่ลดทอนความสามารถในการแข่งขัน นิยมใช้ Micheal
E. Porter’s Model หรือที่รู้จักกันดีคือ 5 Forces และเมื่อเอา Moats ของ Munger มาประกบกัน
เราสามารถจับคู่ได้ดังนี้
1.
Rival Competition – Brand แรงกดดันจากการแข่งขันภายใน
โดยเฉพาะในตลาดคู่แข่งขันมากราย ในตลาดแบบนี้มีมากที่สุดในเกือบทุกอุตสาหกรรม
การยืนหยัดในอุตสาหกรรมได้คือต้องมีแบรนด์ที่แข็งแกร่ง ลูกค้ามีความภักดีต่อแบรนด์สูง
(Brand Loyalty) ในทางการตลาดจึงมีการสร้างแบรนด์ให้อยู่ในใจลูกค้าให้นานและเหนียวแน่นกที่สุด
ใครทำให้ลูกค้าเป้าหมายจดจำได้ ย่อมสามารถสร้างยอดขายได้อย่างต่อเนื่อง
2.
Bargaining Power of Buyers – Network Effect แรงกดดันจากลูกค้าคืออำนาจการต่อรอง
ปกติธุรกิจที่มีการแข่งขันสูง ลูกค้ามักมีทางเลือกมาก อำนาจต่อรองราคาจะมาก
ดังนั้นแทบจะขายสูงกว่าคู่แข่งได้ยากมาก จะกดดัน margin ให้ลดลง
เพราะการขายราคาสูงจะยาก แม้จะใช้กลยุทธ์ differntiation แต่ก็จะถูกเลียนแบบได้
แต่หากทำให้สินค้าเกิด Network Effect คือเกิดการใช้ตามๆกัน เธอมีฉันต้องมีด้วย
ลักษณะแบบนี้จะทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สิ่งที่สำคัญคือติองทำให้สินค้าเกิดการใช้งานซ้ำหรือจำเป็นต้องใช้ต่อเนื่องไป
3.
Bargaining Power of Suppliers – Economy of Scales แรงกดดันจากซัพพลายเออร์คือส่วนที่มีผลต่อต่อทุนผลิต
ที่มีขนาดการผลิตเล็ก ย่อมเสียเปรียบในเรื่องการต่อรองราคาเมื่อซื้อวัตถุดิบ
โดยเฉพาะหากจัดหาซื้อได้เพียงที่เดียวหรือไม่กี่แหล่ง แต่หากมีขนาดการผลิตมาก
ซื้อครั้งละมากๆ และต่อเนื่อง ผู้ผลิตก็เหมือนธุรกิจทั่วไป
หากขายได้ต่อเนื่องก็ต้องอยากได้เช่นกัน กิจการที่มีขนาดการผลิตที่ใหญ่ ย่อมต่อรองได้ง่ายได้ดีกว่า
ทำให้ควบคุมต้นทุนผลิตได้ง่ายขึ้น ลดแรงกดดันราคาขายได้ทางหนึ่ง ขณะเดียวกัน การมี
Economy of Scales จะป้องกันคนเข้าใหม่ด้วย เพราะรายใหม่ที่เข้ามาต้องลงทุนมาก
เพื่อให้ต้นทุนต่ำพอที่จะเจาะตลาดแข่งขันได้
4.
New Entrances – Regulation ปราการที่สำคัญในการกันคนเข้าใหม่ให้เข้าสู่อุตสาหกรรมได้ยาก
คือกฏระเบียบต่างๆ จากหน่วยงานรัฐ (Regulation) บางธุรกิจการเปิดธุรกิจต้องได้รับการอนุญาตจากรัฐหรือหน่วยงานรัฐ
เช่นธุรกิจโทรคมนาคม แม้จะป้องกันไม่ได้ 100% เพราะแนวโน้มโลกคือการเปิดเสรี
แต่ก็ทำให้การเกิดคู่แข่งรายใหม่เกิดได้ช้าลง บางอุตสาหกรรมเงื่อนไขไม่มากก็ไม่ถือว่ามีปราการด้านนี้
แต่บางอุตสาหกรรมเงื่อนไขมาก ก็กลายเป็นข้อดีของคนที่เข้ามาแล้ว คนใหม่ๆอยากเข้าก็ต้องคิดมากขึ้นว่าคุ้มหรือไม่
ทำให้คู่แข่งไม่เพิ่มเร็วมาก
5.
Substituted Products/Services – Switching Cost or Intellectual Properties/Inovation
แรงกดดันจากสินค้าทดแทน อุตสาหกรรมใดมีสินค้าใช้แทนได้
(ไม่ใช่เปลี่ยนไปใช้ของคู่แข่ง ตรงนี้เป็นข้อเรื่อง rival compettition) ทำให้ลูกค้าตัดสินใจเปลี่ยนได้ง่าย การทำให้เกิดความยากในการเลิกใช้
เนื่องจากจะมี Switching Cost สูงทำให้ไม่คุ้มค่าในการเปลี่ยนสินค้า
หรือการสร้างนวตกรรมใหม่ๆตลอดเวลา หรือมีสิทธิบัติ ก็จะเป็นเกราะคุ้มครองธุรกิจที่ดีในระยะเวลาหนึ่ง
ดังนั้นการมองด้านเชิงคุณภาพเพียง
business model ดี อาจไม่เพียงพอเพราะแค่มี business
model ดี
แต่ไม่ยั่งยืนก็ไม่ต่างอะไรกับการลงทุนตราสารที่มีดอกเบี้ยสูงๆ แต่อายุสั้นๆ 5
Forces ใช้วิเคราะห์แรงกดดันต่ออุตสาหกรรมที่ธุรกิจนั้นอยู่
แรงกดดันเหล่านั้นทำให้อายุการเติบโตสั้นลง การรักษาการเติบโตให้ยาวออกไปต้องมี Moats
ไว้ต้านทานแรงกดดันนั้น