วันเสาร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2560

เงินลงทุนของบริษัทกับการรับรู้กำไร


เงินลงทุนของบริษัทกับการรับรู้กำไร

เชื่อว่านักลงทุนส่วนใหญ่ล้วนต้องการลงทุนระยะยาวในหุ้นเติบโต และมักมองเพียงหรือหาจากการดูกิจการที่มีการเติบโตของกำไรสุทธิมากๆ ก็ถูกแต่ไม่หมด

1.     กำไรสร้างได้จาก one-time gain

2.     กำไรสร้างได้จากการทำ creative accounting

ประเด็นทั้งสองทำได้มากมาย แต่ในบทความครั้งนี้ขอมุ่งในประเด็นการทำ one-time gain และ creative accounting ผ่านรายการเงินลงทุน

เงินลงทุนเราแบ่งได้หลายๆ มุม ผมยำมารวมแล้วกัน และสรุปสั้นๆ ครับ

1.     เงินลงทุนเพื่อค้า (For Trading) – เป็นเงินลงทุนระยะสั้น (เงินลงทุนชั่วคราว) เสมอ แสดงในสินทรัพย์หมุนเวียนเท่านั้น เป็นหุ้นหรือตราสารต่างๆ ที่ไว้ซื้อขายเพื่อเก็งกำไรราคาสั้นๆ ต้อง Mark to Market แสดงว่าต้องมีราคาตลาดซื้อขาย ต้องเป็นหุ้นหรือตราสารที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เท่านั้น ทุกครั้งที่แสดงงบการเงินต้องแสดงมูลค่าที่ราคาปิด (Market Price) ผลต่างที่เกิดขึ้นจะแสดงเป็นกำไรหรือขาดทุนในงวดทันที (ท่อนบน) กำไรขาดทุนจากการตีราคาบางครั้งอาจเห็นในชื่อกำไรขาดทุนจากการเปลี่ยนแปลงมูลค่ายุติธรรม กำไรขาดทุนนี้ในกิจการธนาคา ประกันภัย หลักทรัพย์ หรือธุรกิจการเงินถือเป็นรายได้ปกติการดำเนินงานไม่ต้องปรับออก เพราะธุรกิจเหล่านี้ต้องมีเพื่อธุรกรรมอยู่แล้ว ถือว่าปกติ แต่ในกิจการอื่นการซื้อขายหุ้นไม่ใช่กิจกรรมหลัก เพราะควรผลิตสินค้าขาย ซื้อสินค้ามาขาย ไปให้บริการขนส่งสินค้า ฯลฯ  ดังนั้นในกิจการที่ไม่ใช่กลุ่มการเงินจะถือเป็น one-time gain

2.     เงินลงทุนเผื่อขาย (Available for Sell) – เป็นได้ทั้งระยะสั้นและระยะยาว อยู่ที่วัตถุประสงค์ของการถือลงทุน มีไว้เพื่อขาย ถ้าเป็นระยะสั้นอาจถือ ยาวกว่า 3-6 เดือนหรือนานกว่านั้น แต่ไม่เกินปี ตรงนี้ต่างกับเงินลงทุนเพื่อค้า (For Trading) ที่ต้องถือสั้นมากๆ ไม่เกินไตรมาสควรขายออกแล้ว หุ้นกลุมนี้ก็ต้องแสดงมูลค่าที่ราคาตลาด หรือต้อง Mark to Market เช่นกัน ส่วนต่างที่เกิดขึ้นจะแสดงในกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น (ท่อนสอง) ในมูลค่าสุทธิจากภาษี ผลกำไรขาดทุน จะถูกกลับไปแสดงในท่อนบน (กำไรขาทุน) เมื่อมีการขายเงินลงทุนนั้นออกไป ทั้งเงินลงทุนเพื่อค้าและเงินลงทุนเผื่อขาย ต้องเป็นหุ้นในตลาด มีราคาตลาด และถือน้อยกว่า 20% ถ้ามากกว่านั้นจะถือเป็นเงินลงทุนร่วมหรือย่อย ซึ่งเงินลงทุนพวกนี้เราจะไม่มีการทำ Mark to Market รายละเอียดจะกล่าวเมื่อถึงหัวข้อนี้ต่อไป

*ทั้ง งลท เพื่อค้าและเผื่อขายจะถือน้อยกว่า 20% และแสดงด้วยมูลค่าตลาดเสมอ การด้อยค่าอาจเกิดได้ถ้าหุ้นนั้นติด SP ซึ่งราคาหุ้นจะถูกแช่แข็งไว้ แต่มูลค่าหากเกิดการซื้อขายอาจลดลงได้กว่าราคา ณ วัน SP กิจการต้องประเมินการด้อยค่า

3.     เงินลงทุนทั่วไป – เป็นเงินลงทุนที่ถือไว้และไม่ได้อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ถือสัดส่วนน้อยกว่า 20% แสดงที่ราคาทุนและต้องประเมินการด้อยค่า

4.     เงินลงทุนที่ถือไว้จนครบกำหนด (Held to Matutity) – เป็นตราสารหนี้ที่ไม่ได้มีไว้ซื้อขาย เช่นหุ้นกู้ ถ้ามีไว้ซื้อขายเก็งกำไรราคาจะจัดเป็นเพื่อค้า เงินลงทุนตราสารหนี้ที่ถือไว้จนครบกำหนดจะแสดงด้วยราคาทุนตัดจำหน่าย เข้าใจง่ายๆ สั้นๆ สมมติ เราลงทุนในหุ้นกู้ที่จ่ายดอกเบี้ยตามหน้าตั๋วที่ 5% อายุ 7 ปี ในขณะนั้นตลาดสำหรับตราสารหนี้อายุดังกล่าว ต้องการผลตอบแทน 4% หุ้นกู้นี้ขายที่ 1060 บาท (ราคาต่อหน่วยคือ 1000) 60 บาทนี้เรียกว่าส่วนเกินมูลค่าหุ้นกู้ ซึ่งลงบัญชีดังนี้

เดบิต เงินลงทุนที่ถือไว้จนครบกำหนด 1000

 ____ส่วนเกินมูลค่าหุ้นกู้_____________60

_____________________________เครดิต เงินสด 1060

เมื่อมีการจ่ายดอกเบี้ย สมมติจ่ายปีละครั้ง

เดบิต เงินสด____________50

____________________________เครดิต ดอกเบี้ยรับ_____42.4

____________________________เครดิตส่วนเกินมูลค่า____7.6

จะตัดจ่ายส่วนเกินมูลค่าหุ้นกู้ด้วยวิธี Effective Rate การแสดงมูลค่าหุ้นกู้

ปีที่ 0 วันซื้อ 1000 + 60 = 1060

ปีที่ 1 1000 + 52.4 = 1052.4

จะพบว่าราคาที่ลงทุนในหุ้นกู้จะค่อยๆ ลดลงจนปีสุดท้ายที่จะได้เงินต้นคืนคือ 1000

กิจการที่ออกหุ้นกู้ก็จะใช้หลักเกณฑ์เดียวกัน แต่ลงบัญชีตรงกันข้าม

5.     ดังนั้นจะเห็นได้ว่า เงินลงทุนที่ถือไว้จนครบกำหนด (Held to Matutity) จะไม่แสดงราคาตลาดที่ซื้อขาย เว้นแต่จัดเข้าเป็นเพื่อค้าหรือเผื่อขาย

6.     กิจการที่ถือหุ้นทุนในบริษัทอื่นตั้งแต่ 20% ขึ้นไปโดยทั่วไปจะจัดเป็นเงินลงทุนในบริษัทร่วม (ตั้งแต่20% แต่ไม่เกิน 50%) ถ้าถือตั้งแต่ 50% ขึ้นไปจัดเป็นบริษัทย่อย ทั้งสองถือเป็นสินทรัพย์ไม่หมุนเวียน ไม่แสดงด้วยวิธีราคาตลาด แต่แสดงด้วยวิธีส่วนได้เสีย (Equity Method) สำหรับเงินลงทุนในบริษัทร่วม และต้องจัดทำงบการเงินรวมเมื่อเป็นบริษัทย่อย

7.     การแสดงวิธีส่วนได้เสีย (Equity Method) คือการทำ One line consolidation

8.     หลักของ One line consolidation คือแสดงส่วนของสินทรัพย์สุทธิที่บริษัทมีส่วนได้ส่วนเสีย ซึ่งหมายถึงหุ้นสามัญที่ลงทุนอยู่เท่านั้น

9.     การแสดงด้วยวิธีส่วนได้เสีย (Equity Method) สำหรับเงินลงทุนในบริษัทร่วม คือทุนที่ลง (อาจซื้อมาด้วยราคาสูงหรือต่ำกว่าราคาบัญชีหรือราคายุติธรรมก็ได้ทั้งนั้น) แล้วปรับปรุงทุกครั้งที่แสดงงบการเงินด้วยการเปลี่ยนแปลงส่วนทุนที่บริษัทมีส่วนได้เสีย (คือหุ้นสามัญ) เช่น บวกกำไรขาดทุนของหุ้นสามัญ และหักเงินปันผลจ่าย กรณีที่มีหุ้นประเภทอื่นที่มี Claim เหนือกว่า เช่นหุ้นบุริมสิทธิ์ จะไม่นับแสดงรวม เพราะบริษัทไม่ได้ร่วมในส่วนได้เสีย ดังเช่นหนี้สินของบริษัทร่วมก็ตัดออก แสดงเพียงสินทรัพย์สุทธิ (ส่วนของหุ้นสามัญเท่านั้น)

10. กรณีบริษัทร่วมซื้อสูงหรือต่ำกว่ามูลค่ายุติธรรม ไม่ต้องแสดงค่านิยมหรือกำไรจากการต่อรอง ซื้อเท่าไรก็แสดงแรกเริ่มที่ราคาซื้อ แล้วต่อมาปรับปรุงเงินลงทุนด้วยกำไรขาดทุนของหุ้นสามัญและหักเงินปันผลจ่ายสำหรับหุ้นสามัญ เงินลงทุนร่วมจะไม่มีการแสดงด้วยราคาประเมินใดๆทั้งสิ้น (PACE จึงแสดงผิดหลักบัญชี ส่งผลให้เกิดการลงรับรู้กำไรที่เกี่ยวข้องผิดในจำนวนที่มากเกินจริง)

11. ค่านิยม และกำไรจากการต่อรองจากการซื้อเกิดเมื่อทำงบการเงินรวม และรายการนี้ จะมากล่าวต่อไปภายหลัง และวิธีการสังเกตถึงการนำมาสู่การทำ Creative accounting & Siphon

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น