วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

Capitalism paradigm and the Principle of a Sufficient Economy


Capitalism paradigm and the Principle of a Sufficient Economy

แนวคิดแห่งหลักเศรษฐกิจพอเพียงกำลังเป็นแนวคิดที่มีบทบาทและอิทธิพลต่อสังคมไทยกว้างขวางขึ้น มีผู้บริหารและนักลงทุนจำนวนมากยังมองว่าแนวคิดทั้งสองแนวทางยากต่อการเดินมุ่งสู่เป้าหมายเดียวกัน  พบว่าส่วนใหญ่มีสาเหตุจาก

1. ผู้บริหารและนักลงทุนจำนวนมาก มุ่งที่กำไรมากๆ ไว้ก่อน ผู้บริหารเน้นสร้างตัวเลขกำไรมากๆ เพื่อให้ราคาหุ้นขึ้นสูงๆ ส่วนนักลงทุนก็เน้นข่าวบริษัททำกำไรไตรมาสหน้าสูงๆ มุ่งเน้นแต่ทำส่วนต่างราคา กำไรมากๆ เร็วๆ ด้านหนึ่งก็บอกว่าความยั่งยืนคือเศรษฐกิจพอเพียง แต่แนวคิดและการปฏิบัติไปคนละทาง  ยังมีความเข้าใจเกี่ยวกับความหมายแท้จริงของเศรษฐกิจและที่มุ่งเพียงเรื่องของเม็ดเงินอย่างเดียว

2. ความเข้าใจเรื่องทุนยัง focus หรือมองเพียงทุนทางการเงิน วัดทุนในมิติ “เงิน” เท่านั้น

3. ขาดความเข้าใจในเรื่องหลักเศรษฐกิจพอเพียง หรือเข้าใจแต่นำมาเชื่องโยงกับวิทยาการบริหารแนวใหม่ไม่ได้

4. ยังเข้าใจแนวคิดการบริหารยังไม่มากพอในเชิงบูรณการทางทฤษฎี

5. มองการพัฒนาเติบโตในมิติของเศรษฐกิจพอเพียงกับกับเศรษฐกิจทุนนิยมต่างกัน

เมื่อตั้งคำถามพื้นฐานที่สุดว่า เป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ของธุรกิจคืออะไร คำตอบที่ได้ส่วนใหญ่จะตอบเหมือนกันหมดคือกำไร นั่นแสดงว่ามุมมองต่อทุนนิยมยังคงมองทุนเพียงตัววัดค่าทางการเงิน หรือทุนทางการเงิน (Financial Capital) และมองผลที่วัดได้เพียงระยะสั้นเพราะงบการเงินจะวัดผลอย่างน้อยปีละครั้งหรือบางทีอาจจะมากว่านั้นเช่นวัดผลการดำเนินงานไตรมาสละครั้ง แต่ในมุมมองการบริหารแนวคิดใหม่จะมุ่งวัตถุประสงค์ไปที่การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผู้มีส่วนร่วมกับกิจการในระยะยาวอย่างมั่นคง (Sustainable Stakeholders’ Value Creation) ทุนในแนวคิดใหม่ไม่ใช่เพียงทุนทางการเงิน แต่ทุนในแนวคิดใหม่ครอบคลุมไปถึงทุนทางปัญญา เรื่องนี้เป็นหัวข้อที่ต้องถกประเด็นกันยาว

อนาคตของทุนนิยมจะเปลี่ยนไปจากระบบทุนนิยมเดิมที่เป็นอยู่

- ทุนนิยมเดิมในปัจจุบัน คือระบบที่ใช้เงินตราวัดค่า เงินถือเป็นตัววัดสำคัญเพราะใช้ตีค่าสิ่งที่จะนำมาแลกเปลี่ยนกัน เพราะทรัพยากรที่มนุษย์มีความอยากได้มีจำกัด

- ระบบทุนนิยม (เดิม) คือระบบที่คนกลุ่มหนึ่งทำงานอย่างหนักเพื่อคนอีกกลุ่มหนึ่ง และหวังว่าตัวเองอนาคตจะร่ำรวยบ้าง ความเพียรความขยันเป็นสิ่งที่ดี หากแต่ถ้าขยันเพราะเพียงอยากร่ำรวยอาจไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องในชีวิต ความเพียรและความพยายามเป็นสัญลักษณ์ของการแสดงความดีงาม

- ระบบทุนนิยม (เดิม) ทำให้คนเราหมดเวลาไปกับเรื่องงานมากกว่าความเป็นชีวิตที่มีอะไรมากกว่าคำว่า งานและเงิน

ความคิดใหม่ต่อระบบทุนนิยม

- เดิมเน้นที่การสร้างมูลค่าให้เจ้าของเงิน หรือที่นิยมสอนกันคือ maximize shareholders’ wealth or building shareholders’ value

- แนวคิดใหม่ต้องมองทั้งเพื่อตนเองและผู้อื่นไปพร้อมกัน บนแนวคิดตัวตนและสิ่งแวดล้อมไม่เป็นสองแยกจากกัน นั่นคือเปลี่ยนจาก ผู้ถือหุ้นเป็นผู้มีส่วนได้เสีย (stakeholder) นั่นคือจะมุ่งไปสู่ Sustainable Stakeholders’ Value Creation การสร้างคุณค่าที่เพิ่มขึ้นให้กับผู้มีส่วนได้เสียในทุกมิติขององค์กร

- ระบบความคิดเดิมบ่อเกิดแห่งความมั่งคั่งอยู่ที่ ที่ดิน เงิน มูลค่าทรัพย์สินที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

- ปัจจุบันบ่อเกิดแห่งความมั่งคั่งเป็นสมอง ปัญญา และทักษะของคน

- จากทุน financial capital => intellectual capital คำถามคืออะไรคือทุนของธุรกิจในยุคใหม่และใครเป็นเจ้าของทุน

- Capital = Financial + Intellectual ; Intellectual = Human + Structural

- Capital = Financial + Human + Structural

- Capital = Financial + Human + Information + Organizational

- Human Capital = Skill + Knowledge + Training

- Information = System + Database + Network (= IT + Process (supp chain mgt) + Customer)

- Organization = Culture + Leader + Teamwork + Alignment

การเลือกธุรกิจหรือเป้าหมายธุรกิจก็จะต้องเปลี่ยนไปจากเพียงการทำกำไรสูงสุด (Maximize Profit) มาเป็น Make Profit, Generate Cash Flow and Stay Solvency

การนำเอาแนวคิดใหม่ไปสู่การพัฒนาธุรกิจให้เกิดหลักเศรษฐกิจพอเพียง จากแนวคิดดังกล่าวที่สรุปมานั้น หากนำมาเทียบกับหลักแห่งเศรษฐกิจพอเพียงซึ่งมีองค์ประกอบคือ พึ่งพาตนเอง พอประมาณ มีเหตุผล มีภูมิคุ้มกันตนเอง  

-พอประมาณ ไม่ใช่การมีกำไรน้อยกำไรมาก แต่ต้องเป็นกำไรที่ยั่งยืน บริษัทที่สร้างความมั่งคั่งให้นักลงทุนระดับโลก หรือนักลงทุนชั้นนำ ไม่ใช่บริษัทที่สร้างกำไรสูงสุด แต่เป็นบริษัทที่ทำกำไรได้ต่อเนื่องยั่งยืน การทำกำไรสูงนั้นดี แต่กำไรที่เติบโตที่นิ่งและมั่นคงสำคัญกว่า นั่นคือทำไม่คนที่เรียนกับผม จึงมักได้ฟังว่าผมเน้นความนิ่งของการเติบโตต่อเนื่อง ไม่ชอบพวกกระโดดขึ้น มากๆ (และพวกนี้จะมีลงด้วยเสมอ)

-พึ่งพาตนเอง ธุรกิจที่ดีคือการเติบโตแบบ Organic Growth เติบโตด้วย Existing Assets ที่สร้าง Real Operating Profit ถ้าหลานท่านที่เรียนจะทราบดีว่าผมให้เน้นหุ้นที่เติบโตแบบ Organic Growth

-มีเหตุผล ความมีเหตุมีผลคือทุกกิจกรรมต้องมีหลักคิดที่ถูกต้องเหมาะสม มีหลักการที่ดี กิจการที่โต หรือกำไรมากๆแล้ว แต่ขาดหลักการที่ดี ดูไม่สมเหตุสมผล เช่นซื้อหุ้นคืนเพื่อสร้างราคา เพิ่ม EPS สำหรับผมแล้วไม่ใช่การสร้างความยั่งยืนของธุรกิจ ต่อให้หุ้นขึ้นก็อยู่ได้ไม่นาน ผมไม่สนใจหุ้นเหล่านี้เลย คนเรียนกับผมก็จะทราบดีว่าผมไม่เคยมีมุมมองบวกกับธุรกิจ นอกจากนี้การพึ่งพาตนเองคือการมี Cash Flow ที่แข็งแกร่ง ไม่ใช่ run ธุรกิจไปได้ด้วยหนี้ ไม่ว่าจะหนี้สถาบันการเงินหรือหนี้จากการค้า (ก่อหนี้ได้ แต่ต้องเหมาะสม พอประมาณ)

-มีภูมิคุ้มกันตนเอง คือความพร้อมที่จะจัดการกับผลกระทบที่เกิดขึ้นจากทั้งภายนอกและภายใน กิจการที่มีภูมิคุ้นกันต้องมี โครงสร้างทางการเงินแข็งแกร่ง มี Moats

นั่นคือการพิจารณาหุ้นที่ดีบนหลักของการดำเนินธุรกิจบนหลักเศรษฐกิจพอเพียง และต้องพร้อมด้วยการใช้ทั้งความรู้ ความเข้าใจ (รอบรู้ รอบคอบ ระมัดระวัง) ผนวกกับ คุณธรรม (ซื่อสัตย์ สุจริต ขยัน อดทน แบ่งปัน) หากคนที่อบรมกับผมมาอย่างต่อเนื่องจะรู้ว่าผมเน้นสอนเช่นนี้มาตลอด และจะยังคงสอนตลอดไป เพราะผมเชื่อว่านี่คือการลงทุนที่ถูกต้องยั่งยืนโดยแท้จริง คนที่เข้าใจ หลักของ Make Profit, Generate Cash Flow and Stay Solvency และเรื่องนิ่ง กับ Organic Growth ได้อย่างสอดประสานกัน จะเข้าใจภาพธุรกิจที่เหมาะสมการลงทุนระยะยาว
ซึ่งหากพิจารณาแนวคิดที่ทุนนิยมและโลกในยุคใหม่ที่จะดำเนินไป จะเห็นได้ชัดว่าในหลักการพื้นฐานโดยแท้จริงนั้นเป็นแนวทางเดียวกัน ไม่ได้ขัดแย้งกันแต่อย่างใดทั้งเป้าหมายและวิธีการ และเพื่อให้ธุรกิจสามารถบรรลุเป้าหมายในระยะยาว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น