หุ้นแต่ละตัวมีค่า P/E เฉพาะตัว ไม่ใช่ต้องเท่าตัวอื่นในอุตสาหกรรมเสมอ
จาก P/E
Payout Model ; P/E = Payout ratio / (k – g)
Franshise P/E Model ซึ่งขยายต่อจาก Payout ratio / (k – g)
คนที่สนใจให้ไปอ่านใน Franchise Value – A Modern Approach to Security Analysis
เป็น TEXT
BOOK แค่ราว 500 หน้าเท่านั้น ผมสรุปให้ครับว่า
Franshise P/E Model = 1/k + (1/k – 1/ROE)(g/(k-g))
เมื่อ 1/k
= Tangible P/E ; k = D/P + Price growth = Total return
ดังนั้น ถ้ากิจการใดทำ ROE
> k (Reaquired Expected Total Return) ในระยะยาว
ก็จะเกิด Franshise Value ขึ้น หรือ P/E ส่วนเพิ่มหรือ
(1/k – 1/ROE)(g/(k-g))
P/E is composed of a basic
term—the reciprocal of the discount rate, which applies to all companies in the
same risk class—and a second term that depends solely on the firm’s ability to
generate productive future growth.
P/E จึงประกอบด้วย
ค่า P/E พื้นฐานสำหรับอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงเท่ากัน (Unleverage
firm) และความสามารถในการเติบโตที่สูงกว่าอุตสาหกรรม (ability
to generate productive future growth)
จาก CAPM
; k = rf + Beta*(rm-rf) และ
Beta = Bata0*(1+D/E) ; when
Beta0 = Beta of unleverage firm
ดังนั้นกิจการใดที่มี D/E ยิ่งสูง k จะยิ่งมาก หมายความว่า การจะมี Franshise Value ต้องมี ROE ที่สูงขึ้น ดังนั้นการรีบสรุปว่าบริษัทที่ดี
จะมี ROE สูงทันทีก็อาจจะไม่ถูกทันทีนัก
1. ROE
= ROA*(1+D/E); when ROA = Net Income/Total Assets (Old
approach)
2. กิจการที่แม้มี ROA ต่ำ ROE อาจสูงได้ ถ้าโครงสร้างทุนเป็นหนี้มาก
3. สัดส่วนหนี้มากย่อมเสี่ยงต่อ bankruptcy มากกว่า
4. P/E หุ้นจะสูงกว่ากิจการอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกันได้ถ้า ROE สูงกว่า
5. การประเมินมูลค่าหุ้นควรดูที่จะพิจารณาหลังสุด หลังจากหุ้นที่เลือกลงทุนระยะยาวนั้นมี
Solvency และมีความสามารถในการ Generate
Cash Flow ตามลำดับ
6. หุ้นที่โครงสร้างการเงินแกร่ง และสามารถสร้างกระแสเงินสดได้แล้ว โอกาสล้มจะยาก
จากนั้นจึงค่อยดูว่าราคาเวลานั้นควรเข้าซื้อลงทุนหรือไม่
7. ปัจจุบันนี้ นลท มักถูกสอนเน้นให้เลือกการดูกำไร พิจารณาแต่การโตด้านกำไร ผลคือบางตัวกำไรแต่ลงทุนไม่นานกลายเป็นกิจการมีปัญหา
ราคาลงอย่างเร็ว
8. หุ้นที่ลงทุนระยะยาวได้ต้องมีสามองค์ประกอบครบ Make
Profit, Generate Cash Flow และ Stay Solvency และพิจารณาจากข้อสุดท้ายก่อนคือ Stay Solvency ท้ายสุดคือ
Make Profit
9. ในอัตราส่วนที่เลือกด้าน Make Profit คือ Profitability
Ratios ซึ่งได้แก่การพิจารณาด้าน Margin ต่างๆ
และ ROA ROE
10. หุ้นที่มี ROE สูงโดยไม่ได้มาจากการสร้าง Leverage (D/E)
มากๆ จะมี P/E ที่สูงได้
11. ROE ต้องหมายถึง ROE ในระยะยาว ไม่ใช่ snop shot
ROE
12. บางหุ้น ROE สูงเพราะ Equity น้อย
เพราะมีขาดทุนสะสม แสดงว่าในอดีตที่ผ่านมาไม่สามารถทำกำไร ก็ต้องระวัง
13. การวัดค่าความนิ่งในอัตราส่วนต่างๆ รวมทั้งค่า ROE จะทำให้มั่นใจได้ว่า ROE ในระยะยาวสามารถรักษาผลตอบแทนให้ผู้ถือหุ้น
(ROE) ได้มั่นคง
14. เมื่อผลตอบแทนให้ผู้ถือหุ้น (ROE) ได้มั่นคง
ค่า P/E ก็สามารถประเมินมูลค่าได้อย่างมั่นใจ
15. ตัวอย่างการประเมิน P/E ถ้า Beta เฉลี่ยสามปี
อยู่ที่ 1.25 ค่า k = 1.5% + 1.25*(16%-1.5%) = 19.6%
16. k –
g เราสามารถ ประยุกต์ใช้ Dividend Yield (or expected
dividend yield) สมมติค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1.2%
17. จาก P = D/(k-g) == > D/P
= k –g และคาดว่ามี g
และคาดว่ามีการเติบโตปันผล (g) ราว 12%
18. บริษัทมี ROE เฉลี่ยที่ราว 25% จะมี P/E
= 1/.196 + (1/.196– 1/.25)(12%/1.2%) = 5+6 = 15
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
ตอบลบขอบคุณสำหรับความรู้สำหรับเรื่อง P/E นะครับ เป็นประโยชน์ต่อการดูหุ้นเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตามถ้าสนใจด้านการ เทรด Forex สามารถเข้ามาศึกษา-สนทนาร่วมกันได้ครับ
ตอบลบ