วันอังคารที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

The relatonship of P/E, Earning Yield, Dividend Yield

The relatonship of P/E, Earning Yield, Dividend Yield

ทั้งหมดมีความสัมพันธ์กัน เพราะรากเดิมมาจากเรื่อง การคิดลดเงินสดเป็นค่าเงินปัจจุบัน

DDM (Dividend Discount Model) หรือ Gordon Model คือการคิดลดเงินสดของเงินปันผลที่จะได้รับในอนาคต ตามทฤษฎี DDM มีสองรูปแบบ คือ Constant Growth และ Multiple Growth

ที่นิยมใช้คือ Constant Growth;    P =   D1/(k-g)

เมื่อ P คือราคาหุ้น

D1 คือเงินปันผลที่คาดว่าจะได้ในงวดหน้า (Expected DPS received)

k คือผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับ (Expected required rate of return) -- > CAPM

g คืออัตราการเติบโตของเงินปันผล (ซึ่งปกติคือการเติบโตเฉลี่ยระยะยาว และหมายถึงการเติบโตของกำไรธุรกิจด้วย)

ข้อสังเกต :  ทุกค่าเป็น expected (D1, k, g) และอยู่บนพื้นฐานคือ ประสิทธิภาพ turnover ทุกค่าเท่าเดิม เน้นการเติบโตแบบ Sustainable Growth

ถ้าให้ Dividend Yield (DY) =  D/P (เงินปันผล/ราคา)

D1/P  =  k-g  หรือบางครั้งเราคิดง่ายๆ เร็วๆ ว่า DY ก็คือ k-g และตรงนี้ขอเพิ่มเติมสักหน่อย เพราะเห็นโพสต์กันมากในเว็ป ในเฟส จากบรรดากูรูและคนที่ให้ความรู้เรื่องการลงทุน มักจะบอกว่าหุ้นนั้นหุ้นนี้มีอัตราผลตอบแทนเงินปันผลต่ำ ก็มีส่วนถูกและผิดครับ ถ้าตั้งสมติฐานต้องซื้อๆ ขายๆ ทุกปีจะใช่ แต่ถ้าซื้อระยะยาวถือไปหลายๆปี การมองว่าขณะนี้สูงหรือต่ำอาจไม่ใช่จุดตัดสินครับ สมมติง่ายๆ ดังนี้

หุ้น A ซื้อที่ 100 และถือไปไม่ขาย โดยมี DPS ที่คาดว่าเติบโตเฉลี่ยปีละ 10%

DPS____________1.5______1.65______1.82_____2.00______2.20_____2.42

DY จริงของ งลท  1.50%____1.65%____1.82%____2.00%____2.20%____2.42%

จะเห็นว่า อัตราผลตอบแทนเงินปันผลจะเพิ่มทุกปี แต่ที่ตลาดแสดงคือ DY ที่เทียบราคาปัจจุบัน เราจะได้ DY ที่ 1.50% ไปตลอดเมื่อเราซื้อขายทุกปี ปรับต้นทุนไปที่ราคาใหม่ realized กำไรส่วนต่าง (ถ้าราคาหุ้นยังขึ้น 10% ตามผลประกอบการ และคง P/E เท่าเดิมไว้)

ดังนั้นถ้า growth ยิ่งมาก DY ในอนาคตของหุ้นที่ซื้อจะยิ่งสูง เราจะได้ DY เพิ่ม และwealth (จาก capital appreciation) ที่เพิ่มทุกปี โดยไม่ต้องมานั่งซื้อๆ ขายๆ ทุกวันทุกเดือน คนที่มาเรียนกับผมจะทราบว่าผมมักย้ำเสมอในประเด็นนี้



เอาล่ะ เมื่อทราบว่า DY = k-g แล้ว ถ้าให้กิจการมี payout ratio อัตราการจ่ายปันผล = b (เช่น EPS 1.20 จ่ายDPS = 0.75 b = 0.75/1.2 = 62.5%) ปกติอัตราปันผลจะขึ้นลงเล็กน้อยไม่ได้คงที่เป๊ะๆ เมื่อคำนวณเพื่อใช้งานอาจใช้ค่าเฉลี่ยอดีตแทนและ b คือ expected payout ratio อย่าลืมนะครับ ค่าเฉลี่ยในอดีตคือตัวแทนที่คาดว่าระยาวน่าจะจ่ายประมาณนี้ เมื่อแทนค่า DPS =  EPS*b or D = E*b

แทนค่าใน P  =  D/(k-g) จะได้   P = E*b/(k-g) -- > P/E = b/(k-g)

ผมขอเรียกว่า P/E payout model = b/(k-g)

ดังนั้นบางคราว เราหา P/E ง่ายๆ โดยใช้ b/DY เช่นหุ้น A จ่ายปันผลเฉลี่ยราว 40% มี DY ที่ราว 1.8

P/E จะซื้อขายราว 22.22 เท่า (40/1.8 = 22.2)

วิธีนี้คือเลี่ยงไปเลยในการหา k จาก CPAM ไม่ต้องถามหาว่าใช้ risk free rate (rf) เท่าไร ใช้ market return เท่าใด beta เท่าใดดี แต่ข้อควรระวังคือหุ้นที่ DY ผันผวนมากให้ระวังการนำไปใช้

Earning Yield คือ ส่วนกลับ P/E; Earning Yield = E/P ค่านี้ถ้าคูณ b คือ DY (E*b/P = D/P)

ดังนั้นหุ้น P/E สูงๆ จะมี Earning Yield ต่ำ ยิ่งจ่ายอัตราปันผลน้อยๆ DY ยิ่งน้อย ปกติทั่วไปหุ้นที่จ่ายปันผลน้อยๆ จะเป็นหุ้นที่มีการขยายงานและคาดหวัง Growth อนาคตสูง และผมเคย prove ให้ดูแล้วว่า ทำไม P/E ควรไม่เกิน g หรือที่ดู PEG < 1 (PE/g) (บทความ ความรู้ทางการเงิน การลงทุน และการบัญชี 3/5/60)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น