วันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ค่าเผื่อ(สำรอง)หนี้สงสัยจะสูญ สินทรัพย์รอการขาย (For sale assets)


ลูกหนี้การค้า (รวมทั้งเงินให้กู้ยืม/เช่าซื้อ) หนี้สงสัยจะสูญ ค่าเผื่อ(สำรอง)หนี้สงสัยจะสูญ สินทรัพย์รอการขาย (For sale assets)

กรณีกิจการที่ทำเช่าซื้อและลิสซิ่งในเนื้อหาทางการเงินและบัญชีแล้วเช่าซื้อและลิสซิ่งไม่ต่างกันเลย คือการผ่อนชำระเป็นงวดเท่าๆกันจนจบสัญญา แต่ทางกฎหมายเรียกต่าง โดยกิจกรรมใดที่มีการจ่ายเงินดาวน์เรียกเช่าซื้อและถ้าลิสซิ่งคือผ่อนทั้งก้อน ดังนั้นอย่าสับสน เวลาวิเคราะห์ลักษณะกิจการทั้งสองจะไม่ต่างกัน



กิจการเช่าซื้อจะมีทั้งขายสินค้า และให้ผ่อนชำระ ส่วนลิสซิ่งไม่ต้องมีสินค้าเลยก็ได้คล้ายปล่อยกู้ ดังนั้นในกิจการเช่าซื้อจะมีทั้งรายการขายและดอกเบี้ยรับ (ดอกผล) จากการเช่าซื้อ ลูกหนี้ก็แยกรายการออกจากกัน บางบิษัท มีทั้งขายและเช่าซื้อเช่น SINGER บางบริษัทเช่น S11 หรือ ML ทำเพียงเช่าซื้อ เป็นต้น กิจการที่ทำเช่าซื้ออย่างเดียวล้วนๆ จะเหมือนลิสซิ่งคือไม่มีสินค้าคงเหลือ ไม่มีต้นทุนขาย แต่บางบริษัทอาจมี แต่ไม่มาก น่าจะมาจากมีสินค้าไว้เพียงตั้งโชว์ แต่เมื่อลูกค้าต้องการก็จะส่งตรงจาก dealer ให้เลย ไม่ใช่เอาของแสดงไปขายให้



ลูกหนี้เงินให้กู้ยืม/เช่าซื้อ จึงต่างจากการขายสินค้าของกิจการผลิตหรือซื้อมาขายไปทั่วไป กิจการทั่วไป ขายสินค้า บันทึกรายได้จากการขายเป็นรายได้ทั้งหมดทันที (ลูกหนี้ = ขาย) แต่ธุรกิจเช่าซื้อและลิสซิ่งเกิดลูกหนี้เงินให้กู้ยืม/เช่าซื้อขึ้น แต่ยังไม่บันทึกรายได้ ลูกหนี้เงินให้กู้ยืม/เช่าซื้อจะนำมาซึ่งรายได้ดอกเบี้ยรับ/ดอกผลรับจากการเช่าซื้อ รายได้จึงไม่ใช่สินทรัพย์ทั้งก้อน (ลูกหนี้เงินให้กู้ยืม/เช่าซื้อ) แต่มาจากการลงทุนในลูกหนี้เงินให้กู้ยืม/เช่าซื้อ แล้วได้ผลตอบแทนดอกเบี้ยรับ/ดอกผลรับจากการเช่าซื้อ ส่วนตรงนี้เมื่ออานงบกระแสเงินสดต้องเข้าใจ แนวคิดเดิมของงบกระแสเงินสด คือการแปลง accrual basis เกณฑ์สิทธ์ให้เป็น cash basis เกณฑ์เงินสด แปลงขายให้เป็นเงินสด เช่าซื้อและลิสซิ่ง (หรือของธนาคาร) ลูกหนี้เงินให้กู้ยืมไม่ใช่รายได้แต่เปรียบเหมือนการลงทุน และรายได้ที่จริงในงบกำไรขาดทุนคือ ดอกเบี้ยรับซี่งมีผลตอการอ่านงบกระแสเงินสด เพราะเกณฑ์มาตรฐานบัญชีใช้หลักเกณฑ์ของกิจการผลิตในเรื่องลูกหนี้ไปใช้กับธุรกิจการเงินนำยอดเปลี่ยนแปลงในลูกหนี้ไปปรับปรุงในส่วนของกระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงาน ทำให้หลายคนสับสนและตีความผิด ถ้าจะให้ถูกต้องเอารายการเปลี่ยนแปลงในลูกหนี้เงินให้กู้ยืม/เช่าซื้อปรับออก (ถ้าลูกหนี้เงินให้กู้ยืม/เช่าซื้อ ลบให้บวกกลับ บวกให้ลบออก) ธนาคารก็ทำแบบดียวกัน แล้วเพิ่มเติมรายการรับฝากเงินเข้าไปด้วยอีกรายการ ก็จะได้เงินสดจากดอกเบี้ยสุทธิหักรายจ่ายในการดำเนินงาน ตรงนี้แหละคือเงินสดจริงๆ ว่าที่ปล่อยกู้ไป ได้ดอกเบี้ยและได้เงินจากค่าธรรมเนียม พอเอาไปหักต้นทุนดอกเบี้ยที่ต้องจ่านเงินสด จ่ายค่าใช่จ่ายดำเนินงานเงินสดพอหรือไม่ ได้เพิ่มขึ้นมากหรือไม่



ในหลักการตั้งสำรองไม่แตกต่างกัน คือดูความสามารถในการจ่ายคืน โดยพิจารณาจากลูกหนี้แยกอายุ ยิ่งมียอดค้างชำระหลังครบกำหนดชำระนานยิ่งควรตั้งสำรองให้มากขึ้น ปกติยอดค้างเกินสามเดือนจะตั้งครบ 100% และเรียกสินเชื่อที่ค้างเกินชำระเกินสามเดือนว่า NPL อาจมีบางบริษัทกำหนดการหยุดรับรู้รายได้ดอกเบี้ยเกินกว่าสามเดือนก็มี ก็ต้องระวัง อาจหมายเหตุให้ดี และกิจการที่ใช้หลักระมัดระวังควรตั้งสำรองส่วนเกินเพิ่มอีกจำนวรหนึ่งหลังจากคิดตาม % ของยอดค้างชำระตามอายุลูกหนี้ จะถือว่าป้องกันความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนจากเศรษฐกิจที่อาจมีผลต่อความสามารถในการชำระในอนาคต



ผลจากการตั้งค่าเผื่อ(สำรอง)หนี้สงสัยจะสูญ จะทำให้ส่วนเพิ่มรับรู้เป็นค่าใช้จ่ายหนี้สงสัยจะสูญในงบกำไรขาดทุน หากการตั้งค่าเผื่อ(สำรอง)หนี้สงสัยจะสูญลดลงส่วนลดลงรับรู้เป็นค่าใช้จ่ายหนี้สงสัยจะสูญโอนกลับ (ยอดลบ) ในงบกำไรขาดทุนหลักการก็คล้ายกับการตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญในกิจการผลิตทั่วไปนั่นเอง โดยทั่วไปการดูคุณภาพลูกหนี้ของธุรกิจเช่าซื้อและลีสซิ่ง การพิจารณาการตั้งค่าเผื่อ(สำรอง)หนี้สงสัยจะสูญสำคัญต่อการดูคุณภาพลูกหนี้มาก เพราะเกี่ยวกับคุณภาพสินทรัพย์ ซึ่งสำคัญกับธุรกิจกลุ่มการเงิน ที่มีลูกหนี้เงินให้กู้ยืมเป็นสัดส่วนสูงมาก ราว 70-80% ถ้ามูลค่าลูกหนี้ไม่ตั้งสำรองให้พอกับความไม่แน่นอนในอนาคต ก็จะแสดงกำไรมากเกินไป เพราะสินทรัพย์สูงเกินไป (นี่คือเหตุผลหนึ่งที่ผมมักให้ระวังการดู P/BV ว่าต่ำไม่ใช่ว่าดีเสมอ เพราะธุรกิจอาจ แสดง BV สูงเกินไป)



นอกจากการดูการตั้งค่าเผื่อ(สำรอง)หนี้สงสัยจะสูญ แล้ว ความจริงมีอีกรายการหนึ่ง มักเป็นรายการเล็กๆ และนักลงทุนมองข้ามไปรายการนี้สะท้อนได้ดีว่างวดที่ผ่านมาตั้งการตั้งค่าเผื่อ(สำรอง)หนี้สงสัยจะสูญน้อยไปและสามารถใช้หลอกตาคนอ่านงบลงทุนได้คือ รายการสินทรัพย์รอการขาย (For sale assets)



รายการนี้คือสินทรัพย์ที่ยึดมาจากลูกหนี้ที่ค้างชำระ ปกติตามกฎหมาย ถ้าลูกหนี้เช่าซื้อผิดนัดชำระเกินสองงวด บริษัมสทสมารถไปยึดได้เลยแต่ไม่ทำกัน มักเจรจามาชำระหนี้ก่อน ถ้ายึดมาบางทีเป็นภาระกิจการไป ยิ่งถ้าผ่อนมานานใช่มานาน ของที่ยึดมาขายทอดตลาดยาก/ไม่ได้ราคาคุ้มหนี้อีก เวลาตัดสินใจยึดสินทรัพย์มาจะลงบัญชีดังนี้

เดบิต สินทรัพย์รอการขาย_______1600    

เดบิต ค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ______800

เดบิต หนี้สูญ__________________200

_________________เครดิต ลูกหนี้เงินให้กู้ยืม______2600

ถ้าขณะนั้นลูกหน้ามียอดค้างเหลือ 2600 และบริษัทตั้งยอดค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญไว้ 800 ของที่ยึดมาประเมินมูลค่าไว้เมื่อยึด 1600 ส่วนขาดคือหนี้สูญ บางกรณีกิจการอาจตัดค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ 1000 ไปเลยก็ได้ แล้วค่อยรับรู้ส่วนเพิ่มค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญอีก 200 แทน ทั้งสองรายการก็คือค่าใช้จ่ายทั้งคู่ในหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญของงบกำไรขาดทุน



ข้อสังเกต สมมติงวดก่อนตั้งยอดค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญไว้น้อย ค่าใช้จ่ายหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญของงบกำไรขาดทุนก็จะน้อย ถ้างวดหรือปีถัดมาเก็บเงินไม่ได้ก็ค่อยยึดสินทัพย์ กำไรปีก่อน/งวดก่อนก็ไม่กระทบ แล้วเวลายึด ก็ตีราคาสินทรัพย์รอขายให้มากหน่อย แล้วงวดถัดไปค่อยรับรู้ขาดทุนจากการลดมูลค่าสินทรัพย์รอการขาย (ด้อยค่า) หรือไปลงขาดทุนจากการจำหน่ายสินทรัพย์รอการขายเมื่อขาย วิธีการนี้คือ  creative accounting เรียกว่า deferred expense แบบหนึ่ง สร้างกำไรให้ดูมากงวดนี้ แล้วไปรับรู้ขาดทุนงวดหน้ายิ่งถ้ารู้ว่างวดหน้าจะขาดทุนยิ่งทำง่ายเพราะ Take A Big Bath ไปเลย ดังนั้นผมมักจะดูยอดการเปลี่ยนแปลงของสินทรัพย์รอขายประกอบ รายการนี้สัดส่วนน้อย แต่สามารถนำมาช่วยตกแต่งรายจ่ายได้



ในงบกระแสเงินสดจะพบว่ามีขาดทุนจากการลดมูลค่าสินทรัพย์รอการขายและขาดทุนจากการจำหน่ายสินทรัพย์รอการขายอยู่ บางทีดูเหมือนรายจ่ายในงวดนั้น และไม่ใช่เงินสด (นำมาบวกกลับ) แต่คือรายจ่ายที่เลื่อนการรับรู้ในงวดที่แล้วมานั่นเอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น