วันอาทิตย์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ฐานเงินและปริมาณเงิน ในระบบเศรษฐกิจ


ฐานเงินและปริมาณเงิน ในระบบเศรษฐกิจ

            หุ้นจะอยู่ในช่วง peak และ bottom มีอยู่ปัจจัยหนึ่งที่บ่งชี้ว่ากำลังอยู่ที่ peak หรือ bottom คือ ตัวเลขฐานเงิน มีคนถามว่าจะดูได้ที่ไหน ก็ได้แนะนำไปว่าหาข้อมูลนี้ได้จากข้อมูลธนาคารแห่งประเทศไทย คิดไปคิดมา น่าจะอธิบายทางวิชาการให้เข้าใจน่าจะดีกว่าเพราะคิดว่าหลายๆคน อาจจะสงสัย หรือไม่รู้ว่าจะสงสัยอย่างไร (เพราะไม่รู้จะสงสัยอะไร)

            ตามนิยามทางทฤษฎี ฐานเงิน (Monetary Base) เป็นกลุ่มหนี้สิน (ในงบของธนาคารแห่งประเทศไทย) ซึ่งประกอบด้วย เงินสดที่หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ (รวมธนบัตรและเหรียญกษาปณ์ที่ออกโดยกรมธนารักษ์) หัก เงินสดในมือ ธปท. และ รัฐบาล และ เงินรับฝากกระแสรายวันที่ไม่ใช่เงินรับฝากของรัฐบาลกลางและ nonresidents ที่ฝากไว้ที่ ธปท.ได้แก่เงินรับฝากของกลุ่มสถาบันรับฝากเงินอื่น สถาบันการเงินอื่น รัฐบาลท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ ภาคธุรกิจ และสถาบันไม่แสวงหากําไร

สรุปให้เป็นภาษง่ายๆคือ

ฐานเงิน = เงินสดหมุนเวียนในมือภาคเอกชน + เงินฝากของสถาบันการเงินที่ ธปท.

          ฐานเงินคือจำนวนเงินที่ถูกใช้เป็นฐานในการสร้างหรือขยายเป็นปริมาณเงิน

ฐานเงิน (Monetary Base) จึงประกอบด้วย ธนบัตรและเหรียญกษาปณ์ที่หมุนเวียนอยู่ในมือของประชาชน และในมือของธนาคารพาณิชย์ รวมทั้งเงินฝากสถาบันการเงินที่ฝากไว้ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งในทางเศรษฐศาสตร์ ฐานเงินจะสามารถสร้างปริมาณเงินหมุนเวียนได้ คนที่ไปดูแต่เงินสดคงคลัง แล้วไปมโนว่ารัฐบาลแย่ ประเทศแย่นั้น ผิดทางอย่างมาก เหมือนกับไปขอดูแค่กระเป๋าสตางค์แล้วบอกว่าคนนี้มันจน แต่ไม่ได้ดูแหล่งเงินได้ ดูกระแสเงินหมุนเวียน บัญชีเงินฝาก สินทรัพย์อื่นๆ เป็นต้น

เราสามารถทราบปริมาณของฐานเงินได้โดย

1.พิจารณาหนี้สินของธนาคารกลาง โดยฐานเงินจะเท่ากับ เงินสดหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ+เงินสดสำรองของธนาคารพาณิชย์

2.พิจารณาทรัพย์สินของธนาคารกลาง โดยฐานเงินเท่ากับ ทรัพย์สินในประเทศสุทธิ+ทรัพย์สินต่างประเทศสุทธิ ทรัพย์สินในประเทศสุทธิได้แก่ สินเชื่อสุทธิที่ธนาคารกลางให้กับรัฐบาลและสถาบันการเงิน ทรัพย์สินต่างประเทศสุทธิได้แก่ ทองคำ เงินตราต่างประเทศ สิทธิถอนเงินพิเศษ SDR ที่ธนาคารกลางใช้เป็นทุนสำรองเงินตรา

ธนาคารแห่งประเทศไทยทราบปริมาณของฐานเงินจากวิธีที่ 2 เพราะวิธีที่ 1 เป็นเพียงทฤษฎี ในทางปฏิบัติไม่สามารถหาขนาดของเงินสดหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้โดยตรง



ฐานเงินกับปริมาณเงินมีสิ่งที่เหมือนหรือต่างกัน และมีความสัมพันธ์กันอย่างไร

จาก สมการฐานเงิน B = C+R หรือ ฐานเงิน = เงินสดหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ + เงินสดสำรองของธนาคารพาณิชย์ และจากตัวอย่างปริมาณเงินแบบแคบ หรือ M1 = C+D (ปริมานเงินแบบแคบ = เงินสดหมุนเวียนฯ + เงินฝากกระแสรายวัน) ดังนั้นสิ่งที่เหมือนกันคือ ทั้งฐานเงินและปริมาณเงินฯ ต่างประกอบด้วย C เงินสดหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ

             สิ่งที่ต่างกันคือ องค์ประกอบหลัง ฐานเงินมีเงินสดสำรองฯ เป็นองค์ประกอบ ส่วนปริมาณเงิน มีเงินฝาก เป็นองค์ประกอบ ความสัมพันธ์ระหว่างฐานเงินกับปริมาณเงินคือ ปริมาณเงินถูกสร้างหรือขยายจากฐานเงิน โดยเงินสดสำรองฯ จะถูกธนาคารพาณิชย์สร้างเป็นเงินฝากประเภทต่างๆ ในขณะหนึ่งๆ

            เพราะเหตุใดฐานเงินจึงเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดปริมานเงินหมุนเวียนในขณะหนึ่งๆ เพราะฐานเงินคือจำนวนเงินที่ถูกใช้เป็นฐานในการสร้างหรือขยายเป็นปริมานเงิน ฐานเงินสามารถขยายเป็นปริมาณเงินได้โดย เงินสดสำรองฯซึ่งเป็นองค์ประกอบของฐานเงิน จะถูกธนาคารพานิชสร้างเป็นเงินฝากประเภทต่างๆซึ่งเป็นองค์ประกอบของปริมาณเงิน หรืออีกนัยหนึ่งเงินสำรองฯ มาจากฐานเงินฝากนั่นเอง

          ในทางเศรษฐศาสตร์ สภาพคล่องมีหลายนิยาม ทั้งสภาพคล่อง ในนิยามที่แคบที่สุด คือ เงินสดหมุนเวียนและเงินฝากของสถาบัน การเงินที่ ธปท. (หรือที่เรียกว่า ฐานเงิน) ไปจนถึงสภาพคล่องในนิยามกว้าง คือ เงินสดหมุนเวียนและเงินฝากของประชาชนที่สถาบันการเงิน ซึ่งเกี่ยวข้องกับภาคเศรษฐกิจโดยตรง ทั้งนี้ สภาพคล่องที่ ธปท. สามารถบริหารจัดการได้โดยตรง คือ ฐานเงิน โดยปริมาณเงินและฐานเงินจะมีความสัมพันธ์กันผ่านกระบวนการสร้างเงิน (Money Creation)

         อุปสงค์ของสภาพคล่องนั้น จะมาจากความ ต้องการใช้สภาพคล่องของภาคเอกชน ที่ขยายตัวตามการเติบโตของเศรษฐกิจ หลักการสำคัญของการที่ทำให้ฐานเงินเกี่ยวข้องกับการกำหนดขึ้นของปริมาณเงินคือหลักการของทฤษฎีฐานเงิน แสดงในรูปสมการการกำหนดขึ้นของปริมาณเงินดังนี้ Ms = m*B

Ms คือปริมาณเงิน ส่วน m คืออัตราการหมุนเวียนเงินเป็นตัวคูณฐานเงิน B ดังนั้นปริมาณเงินจึงเป็นผลคูณของฐานเงินและตัวคูณฯ(m) สมมติ มีเงิน 1,000 บาท มีคนนั่งล้อมเป็นวง 5 คน แต่ละคนคือตัวแทนของหน่วยธุรกิจ (เช่น ครัวเรือน ธุรกิจและอุตสาหกรรมต่างๆ ภาครัฐ เป็นต้น) ถือเงินกันคนละ 200 บาท ทุกๆ 10 นาที จะได้เงินจากคนข้างขวา 200 และให้คนทางซ้าย 200 ในหนึ่งชั่วโมงแต่ละคนจะมีเงิน (รายได้) 1,200 รายจ่าย 1,200 ถ้าเราลดเวลาการถือเงินให้น้อยลงเหลือ 5 นาที ทุกคนจะรู้สึกว่ามีรายได้มากขึ้นทันที ฐานเงินเท่าเดิม แต่ปริมาณเงินมากขึ้นทันที เพียงเพิ่ม m อัตราการหมุนเวียนเงิน ให้มากขึ้น แต่ถ้าอัตราการหมุนเวียนเงินคงที่เร่งได้ไม่มาก ก็อาจเพิ่มฐานเงินคือ B ซึ่งเราเห็นได้คือการทำ QE ในต่างประเทศ เพราะฉนั้นการสร้าง GDP จึงไม่จำเป็นเสมอในการใส่ฐานเงินในระบบ การออกมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายก็ทำได้ เพียงแต่หน่วยเศรษฐกิจตอบรับหรือไม่ เงินไปติดหรือกระจุกตัวที่ใด บางคนอาจแย้งว่า ไม่มีใครรับร้อยจ่ายร้อยหรอก ต้องมีกำไร ต้องมีออม ธุรกิจกำไรไปไหน ก็จ่ายปันผล เหลือจากจ่ายปันผลก็จ่ายลงทุน เขาถึงใช้คำว่า Capital Expenditure (CAPEX) เราออม เงินก็อยู่ในธนาคาร ธนาคารคารก็เอาไปปล่อยสินเชื่อ เราซื้อหุ้นออมลงทุน ก็มีต้องมีคนขายหุ้นให้ คนขายหุ้นก็เอาเงินไปใช้จ่าย ระบบเสรษฐกิจมันหมุนเวี่ยนไป เพราะสองส่วนเสมอ ฐานเงิน(B) และตัวคูณฯ(m) ทำให้เกิดปริมาณเงิน (Ms)

          เพราะเหตุฐานเงินเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดปริมานเงินหมุนเวียนในขณะหนึ่งๆ ฐานเงินจึงคือจำนวนเงินที่ถูกใช้เป็นฐานในการสร้างหรือขยายเป็นปริมาณเงิน ฐานเงินสามารถขยายเป็นปริมาณเงินได้

          ในทางเศรษฐศาสตร์ สภาพคล่องมีหลายนิยาม ทั้งสภาพคล่อง ในนิยามที่แคบที่สุด คือ เงินสดหมุนเวียนและเงินฝากของสถาบันการเงินที่ ธปท. (หรือที่เรียกว่า ฐานเงิน) ไปจนถึงสภาพคล่องในนิยามกว้าง คือ เงินสดหมุนเวียนและเงินฝากของประชาชนที่สถาบันการเงิน ซึ่งเกี่ยวข้องกับภาคเศรษฐกิจโดยตรง

แนวคิดเรื่องฐานเงินเป็นสิ่งที่ใกล้ตัวแบงก์ชาติมากกว่าแนวคิดเรื่องปริมาณเงิน

          ฐานเงินเป็นเงินที่แบงก์ชาติปล่อยออกไปมี 3 ทาง คือ ด้านต่างประเทศ หากเกินดุลการชำระเงิน เอกชนก็จะมีเงินเหรียญ ซึ่งก็จะนำมาแลกเงินบาทที่ธนาคาร ระบบธนาคารก็จะปล่อยเงินบาทออก และหากขาดดุลการชำระเงิน ก็จะเป็นการดูดเงินบาทเข้า และเงินเหรียญก็ออกไปนอกประเทศหมด ที่แบงก์ชาติก็เหมือนกัน แบงก์พาณิชย์ก็มาทำกับแบงก์ชาติเช่นเดียวกัน เช่น ทำ swaps เป็นต้น ตัวนี้คือ net foreign asset

อีกตัวหนึ่ง ด้านรัฐบาลหากรัฐบาลใช้จ่ายเงินมาก ก็จะเป็นคนปล่อยเงิน โดยใช้เงินคงคลังที่ฝากไว้ที่แบงก์ชาติ หรือหยิบยืมจากแบงก์ชาติ ดังนั้น net claim on government จะลดลง ตัวที่จะต้องควบคุมคือ government deposit หรือ surplus เพื่อให้เศรษฐกิจสมดุล ดังนั้นการมีเงินคงคลัง ณ เวลาใดเวลาหนึ่งมากไม่ใช่ตัวชี้ความมั่นคงทางเศรฐกิจ

        ตัวที่สามคือที่แบงก์ชาติปล่อยในตลาดซื้อคืน หรือดูดในตลาดซื้อคืน หรืออาจปล่อยผ่านแพ็คกิ้งเครดิต ผ่าน EXIM Bank เป็นต้น นี่คือทั้งหมดที่มาเป็นการดูดเงินหรือปล่อยเงินของแบงก์ชาติ แล้วมาสรุปรวมเป็นฐานเงิน ซึ่งทุกตัวมีบทบาททั้งสิ้น
          มาตรการข้างต้นมาจากแนวคิดที่ว่า การเพิ่มปริมาณเงินที่หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจจะช่วยผลักดันให้ระดับราคาสูงขึ้น เศรษฐกิจโตขึ้น



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น