ความอยู่รอด (Solvency) นอกจากการก่อหนี้แล้ว ส่วนหนึ่งมาจากการบริหารงานภายใน
บริษัทต่างๆ ที่ประสพปัญหาภาวะล้มละลาย
ที่พบเห็นอย่างเป็นรูปธรรม
การมีหนี้สินสูงกว่าสินทรัพย์หรือการมีสัดส่วนหนี้สินต่อส่วนผู้ถือหุ้นสูง (D/E สูง) จนล้มละลายล้วนคือผลปลายเหตุ คำถามคือ
อะไรคือสาเหตุของการก่อหนี้สินที่สูงขึ้นจนกิจการไปไม่รอด
การก่อหนี้สินสูงจะมีสาเหตุได้
สามประการคือ
1.
การจัดหาแหล่งทุนที่ไม่สอดคล้องกับการจัดหาสินทรัพย์
ซึ่งทำให้โครงสร้างทุนไม่สอดคล้องกับโครงสร้างสินทรัพย์ของธุรกิจ
2.
การแข่งขันของอุตสาหกรรมที่สูง
หรือการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี/นวตกรรม ทำให้สินค้าขายไม่ได้
ขาดทุนจนไม่สามารถจ่ายหนี้สินที่มีอยู่ จนต้องเลิกกิจการในที่สุด
3.
การล้มเหลวในการดำเนินงาน
การขาดประสิทธิภาพ การขาดการควบคุมภายใน
สาเหตุนี้ทำให้เกิดการทุจริต หรือทำให้ต้นทุนดารดำเนินงาน ต้นทุนการผลิต ตลอดจนการหมุนเวียนเงินสดไม่ดีจนขาดสภาพคล่องทั้งที่บัญชีอาจแสดงว่ามีกำไรอยู่
สาเหตุทั้งสามประการมักเกี่ยวข้องกัน
โดยสาเหตุประการที่หนึ่งมักคือปลายเหตุที่ปรากฏ มีภาระหนี้สินสูงจนล้มละลายหรือเลิกกิจการไป
เพราะมาจากการแข่งขันของอุตสาหกรรมที่สูงหรือการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี/นวตกรรม กิจการที่ล้มเหลวในการแข่งขันหรือต้านทานการแข่งขันและการเปลี่ยนแปลงไม่ได้
มักจะเกิดจากการขาดประสิทธิภาพในการดำเนินงานและการควบคุมดูแลภายในที่ดี
หลายกิจการเกิดจากการลงทุนที่ไม่มีประสิทธิภาพ ลงทุนไม่ค้ม ไม่ทำกำไร
ไม่สอดคล้องกับธุรกิจที่เริ่มเปลี่ยนแปลง ส่วนนี้มักจะพบได้ว่า
ความสามารถในการหมุนเวียนสินทรัพย์ (AT- Assets Turnover)
เริ่มแย่ลงเนื่องจากการแข่งขันที่ลดลง ยอดขายหดหาย
เมื่อลงทุนไปแล้วสินทรพย์ยังคงปรากฏอยู่ในงบการเงิน
การขาดความสามารถในการแข่งขันทำให้ยอดขายถดถอยลง อัตราหมุนเวียนสินทรัพย์ (AT-
Assets Turnover) จะลดลง ความสมารถในการทำกำไรก็จะลดลง
เพราะการรักษายอดขาย รักษาสัดส่วนการตลาดได้ต่อไปมักใช้กลยุทธ์ราคาเวยการลดราคา
ทำให้กำรขั้นต้นลดลง ในขระที่ค่าใช้จ่ายจะลดลงได้ยากหรือช้ากว่ายอดขาย
สัญญาณเหล่านี้มักพบในกิจการที่ล้มเหลวก่อนเสมอ
และผลที่สืบเนี่องคือธุรกิจเหล่านี้มักจะประคองธุรกิจ
ให้เดินหน้าต่อไปด้วยการก่อหนี้
ทำให้ภาระหนี้สูงขึ้นจนถึงระดับที่เสี่ยงต่อการล้มละลาย
ในกิจการที่ดีโดยทั่วไปแล้วเป้าหมายหนึ่งคือการรักษาและเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด
ซึ่งหมายความว่าอัตราหมุนเวียนสินทรัพย์จะอยู่ในระดับที่สูงกว่าอุตสาหกรรมและไม่ผันผวน
ส่วนนี้สะท้อนความสารถในการแข่งขันท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี/นวตกรรม
ส่วนการล้มเหลวในการดำเนินงาน เพราะการขาดประสิทธิภาพและการการขาดการควบคุมภายในที่ดีก็เป็นสาเหตุสำคัญของกิจการที่ล้มเหลวจนทำให้ภาระหนี้สูงขึ้นจนเสี่ยงต่อการล้มละลาย
ภาระหนี้ที่ก่อขึ้นก็เพื่อประคองธุรกิจให้ดำเนินหน้าต่อไปเช่นที่กล่าวมา
การขาดประสิทธิภาพด้านการบริหารการตลาดเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้
ลูกค้าหมดความนิยมเปลี่ยนยี่ห้อไปใช้ของคู่แข่งขัน เมื่อลูกค้าหรือสัดส่วนการตลาดลดลง
ยอดขายย่อมกระทบลดลงสิ่งที่กิจการทำได้โดยตรงในการดึงลูกค้าให้คงอยู่คือลดราคาขาย
หรือยืดระยะเวลา (ให้เครดิตขาย) นานขึ้น
ผลคืออัตราลูกหนี้การค้าจะหมุนเวียนยาวขึ้น
ในอีกด้วนหนึ่งหากลูกค้าลดลงไม่ซื้อต่อเนื่อง
สิ่งบริษัทต้องทำเพื่อรักษาระดับการขายหรือรักษาสัดส่วนการตลาดคือ การหาลูกค้าใหม่ด้วยข้อเสนอการตลาดที่ดีกว่าคู่แข่งเพื่อแย่งส่วนการตลาดกลับ
ผลที่เกิดคือยอดขายที่ผันผวนและลุกหนี้ที่ขาดคุณภาพจะส่งผลให้อัตราการหมุนเวียนลูกหนี้การค้า
(Account Receivables Turnover) ผันผวน
การผลิตที่ขาดประสิทธิภาพ
จัดซื้อที่ไม่ดีขาดอำนาจการต่อรอง มักสะท้อนมาที่วัตถุดิบต้องจัดซื้อมากๆมาตุนไว้
การผลิตที่ไม่ดีและขาดประสิทธิภาพจะทำให้สินค้าระหว่างทำสูง (Work in Process) เช่น การมีของเสีย ของต้องผลิตซ้ำ (reprocess)
หรือคงค้างในกระบวนการผลิตสูงกว่ามาตรฐาน
สิ่งเหล่านี้จะสะท้อนในอัตราการหมุนเวียนสินค้าคงเหลือ (Inventories
Turnover) ผันผวน
ผลสืบเนื่องจากการจัดซื้อที่ขาดประสิทธิภาพ
ขาดอำนาจการต่อรองกับผู้ขาย (Suppliers) ทำให้อาจต้องเปลี่ยนผู้ขายบ่อย อัตราการหมุนเวียนเจ้าหนี้การค้า(Account
Payables Turnover) ก็จะผันผวนเช่นกัน
ความผันผวนของลูกหนี้การค้าทำให้กระทบต่อกระแสเงินสดไหลเข้า
กิจการที่มีรายจ่ายประจำย่อมต้องกู้ยืมระยะสั้นมาเพื่อให้ดำเนินธุรกิจไปต่อได้
ก็ย่อมไม่พ้นการก่อหนี้เช่นกัน การผันผวนในอัตราการหมุนเวียนลูกหนี้การค้า
อัตราการหมุนเวียนสินค้าคงเหลือและอัตราการหมุนเวียนเจ้าหนี้การค้า
จะทำให้กิจการต้องก่อหนี้เผื่อรักษาและประคับประคองธุรกิจให้ดำเนินต่อไป
และหากการขาดประสิทธิภาพนี้ยังดำเนินต่อเนื่อง สุดท้ายบริษัทก็จะเกิดภาวะการก่อหนี้สินที่สูงขึ้นจนกิจการไปไม่รอดได้เช่นกัน
เกิดการจัดหาแหล่งทุนที่ไม่สอดคล้องกับการจัดหาสินทรัพย์
ซึ่งทำให้โครงสร้างทุนไม่สอดคล้องกับโครงสร้างสินทรัพย์ของธุรกิจจนล้มละลายได้
การอยู่รอดของธุรกิจจึงไม่ใช่เพียงการเห็นภาพสุดท้าย
D/E สูงๆ
แต่ทุกกิจการก่อนเกิดภาวะนี้จะสั่งสมการขาดประสทธิภาพมาต่อเนื่องบางกิจการมากกว่าสามถึงห้าปี
หรือกว่านั้น ไม่ใช่สามเดือนห้าเดือน
กิจการ
start up ต่างๆ ที่ไปไม่รอดแม้จะมาความโดดเด่นในสินค้าที่แตกต่าง
มักพบจุดจบไม่นานส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการขาดประสิททธิภาพการจัดการในปัญหาพื้นฐานที่กล่าวมา
หลายกิจการเพื่อลดความไม่แน่นอนอันเกิดจาก human error การพัฒนา
robot หรือ AI – Artificial
Intelligence) เพื่อมาทดแทนคนอาจะช่วยลดความผันผวนลงได้ระดับหนึ่ง
การวัดค่าผันผวนในอัตราส่วน (Standard Deviation) ของอัตราส่วนสามารถใช้เป็นเครื่องชี้ความแข็งแกร่งกิจการในระยะยาวได้ดี
และบ่งชี้การอยู่รอดได้
ถ้านำอัตราส่วนการเงินที่วัดได้ในแต่ละช่วงของการรายงานมาวิเคราะห็จะได้ข้อสรุปกิจการเพิ่มอีกในหลายมิติดังนี้
ค่าที่นิ่ง
แสดงว่าไม่ผันผวน บอกอะไรเกี่ยวกับบริษัท
•
ROA – OM*AT ประสิทธิภาพการลงทุนดี รักษาการทำไรดี มี organic growth ในตัว
•
ROE – NM*AT*(1+D/E) ประสิทธิภาพการลงทุนดี
รักษาการทำไรดี รักษาระดับการก่อหนี้คงที่
•
AT – ประสิทธิภาพการลงทุนดี
ตัดสินใจลงทุนดี เหมาะสม customer มี loyalty
•
D/E – มีความเข้มแข็งในด้าน solvency
มีเครดิตการค้า การกู้ยืมกับสถาบันการเงินดี
•
GM – ควบคุมต้นทุนผลิตดี
ระบบการผลิตดี (จัดซื้อและผลิต/โรงงาน)
•
OM – ควบคุมค่าใช้จ่ายดี
ระบบงบประมาณดี ระบบการควบคุมภายในดี
•
NM – ระบบการควบคุมภายในดี
ควบคุมต้นทุนการเงิน+ภาษีดี ไม่มีกำไร one-time มากและบ่อย
•
ART – มี customer
portfolio ดี ล/ค มี Loyalty ต่อสินค้า
ต่อธุรกิจ
•
IT - ระบบการจัดซื้อผลิต/โรงงาน
และ ฝ่ายขายดี ซื้อดี ผลิตดี ขายคล่อง
•
APT – มี Bargaining
Power of Suppliers
แนวความคิดนี้มาจากการประยุกต์ด้านสะท้อนจากเรื่อง
Six Sigma คือ เรื่อง ซิก ซิกมา มุ่งด้านการผลิตเพื่อลดข้อบกพร่องและของเสีย
โดยระดับ 6d คือจุดที่ระดับข้อผิดพลาดที่เกิดจะน้อยมาก
แต่ในการวัดความผันผวนของอัตราส่วนการเงิน
ไม่ได้ใช้ข้อผิดพลาดแต่วัดค่าปฏิบัติการโดยตรง ซึ่งสะดวกและง่าย
เป็นไปได้ในทางปฏิบัติมากที่สุดจากงบการเงินโดยตรง โดย d/m < 10% จะอยู่ในช่วง
same as others หรือผันผวนจากค่าเฉลี่ยไม่เกินกว่า ช่วง 85-115
จะครอบคลุม ข้อมูลที่เกิดขึ้น 68.3%
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น