วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ความอยู่รอด (Solvency) นอกจากการก่อหนี้แล้ว ส่วนหนึ่งมาจากการบริหารงานภายใน


ความอยู่รอด (Solvency) นอกจากการก่อหนี้แล้ว ส่วนหนึ่งมาจากการบริหารงานภายใน

บริษัทต่างๆ ที่ประสพปัญหาภาวะล้มละลาย ที่พบเห็นอย่างเป็นรูปธรรม การมีหนี้สินสูงกว่าสินทรัพย์หรือการมีสัดส่วนหนี้สินต่อส่วนผู้ถือหุ้นสูง (D/E สูง) จนล้มละลายล้วนคือผลปลายเหตุ คำถามคือ อะไรคือสาเหตุของการก่อหนี้สินที่สูงขึ้นจนกิจการไปไม่รอด

การก่อหนี้สินสูงจะมีสาเหตุได้ สามประการคือ

1.        การจัดหาแหล่งทุนที่ไม่สอดคล้องกับการจัดหาสินทรัพย์ ซึ่งทำให้โครงสร้างทุนไม่สอดคล้องกับโครงสร้างสินทรัพย์ของธุรกิจ

2.        การแข่งขันของอุตสาหกรรมที่สูง หรือการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี/นวตกรรม ทำให้สินค้าขายไม่ได้ ขาดทุนจนไม่สามารถจ่ายหนี้สินที่มีอยู่ จนต้องเลิกกิจการในที่สุด

3.        การล้มเหลวในการดำเนินงาน การขาดประสิทธิภาพ การขาดการควบคุมภายใน  สาเหตุนี้ทำให้เกิดการทุจริต หรือทำให้ต้นทุนดารดำเนินงาน ต้นทุนการผลิต ตลอดจนการหมุนเวียนเงินสดไม่ดีจนขาดสภาพคล่องทั้งที่บัญชีอาจแสดงว่ามีกำไรอยู่

สาเหตุทั้งสามประการมักเกี่ยวข้องกัน โดยสาเหตุประการที่หนึ่งมักคือปลายเหตุที่ปรากฏ มีภาระหนี้สินสูงจนล้มละลายหรือเลิกกิจการไป เพราะมาจากการแข่งขันของอุตสาหกรรมที่สูงหรือการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี/นวตกรรม กิจการที่ล้มเหลวในการแข่งขันหรือต้านทานการแข่งขันและการเปลี่ยนแปลงไม่ได้ มักจะเกิดจากการขาดประสิทธิภาพในการดำเนินงานและการควบคุมดูแลภายในที่ดี หลายกิจการเกิดจากการลงทุนที่ไม่มีประสิทธิภาพ ลงทุนไม่ค้ม ไม่ทำกำไร ไม่สอดคล้องกับธุรกิจที่เริ่มเปลี่ยนแปลง ส่วนนี้มักจะพบได้ว่า ความสามารถในการหมุนเวียนสินทรัพย์ (AT- Assets Turnover) เริ่มแย่ลงเนื่องจากการแข่งขันที่ลดลง ยอดขายหดหาย เมื่อลงทุนไปแล้วสินทรพย์ยังคงปรากฏอยู่ในงบการเงิน การขาดความสามารถในการแข่งขันทำให้ยอดขายถดถอยลง อัตราหมุนเวียนสินทรัพย์ (AT- Assets Turnover) จะลดลง ความสมารถในการทำกำไรก็จะลดลง เพราะการรักษายอดขาย รักษาสัดส่วนการตลาดได้ต่อไปมักใช้กลยุทธ์ราคาเวยการลดราคา ทำให้กำรขั้นต้นลดลง ในขระที่ค่าใช้จ่ายจะลดลงได้ยากหรือช้ากว่ายอดขาย

สัญญาณเหล่านี้มักพบในกิจการที่ล้มเหลวก่อนเสมอ และผลที่สืบเนี่องคือธุรกิจเหล่านี้มักจะประคองธุรกิจ ให้เดินหน้าต่อไปด้วยการก่อหนี้ ทำให้ภาระหนี้สูงขึ้นจนถึงระดับที่เสี่ยงต่อการล้มละลาย ในกิจการที่ดีโดยทั่วไปแล้วเป้าหมายหนึ่งคือการรักษาและเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด ซึ่งหมายความว่าอัตราหมุนเวียนสินทรัพย์จะอยู่ในระดับที่สูงกว่าอุตสาหกรรมและไม่ผันผวน ส่วนนี้สะท้อนความสารถในการแข่งขันท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี/นวตกรรม

ส่วนการล้มเหลวในการดำเนินงาน เพราะการขาดประสิทธิภาพและการการขาดการควบคุมภายในที่ดีก็เป็นสาเหตุสำคัญของกิจการที่ล้มเหลวจนทำให้ภาระหนี้สูงขึ้นจนเสี่ยงต่อการล้มละลาย  ภาระหนี้ที่ก่อขึ้นก็เพื่อประคองธุรกิจให้ดำเนินหน้าต่อไปเช่นที่กล่าวมา การขาดประสิทธิภาพด้านการบริหารการตลาดเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ ลูกค้าหมดความนิยมเปลี่ยนยี่ห้อไปใช้ของคู่แข่งขัน เมื่อลูกค้าหรือสัดส่วนการตลาดลดลง ยอดขายย่อมกระทบลดลงสิ่งที่กิจการทำได้โดยตรงในการดึงลูกค้าให้คงอยู่คือลดราคาขาย หรือยืดระยะเวลา (ให้เครดิตขาย) นานขึ้น ผลคืออัตราลูกหนี้การค้าจะหมุนเวียนยาวขึ้น ในอีกด้วนหนึ่งหากลูกค้าลดลงไม่ซื้อต่อเนื่อง สิ่งบริษัทต้องทำเพื่อรักษาระดับการขายหรือรักษาสัดส่วนการตลาดคือ การหาลูกค้าใหม่ด้วยข้อเสนอการตลาดที่ดีกว่าคู่แข่งเพื่อแย่งส่วนการตลาดกลับ ผลที่เกิดคือยอดขายที่ผันผวนและลุกหนี้ที่ขาดคุณภาพจะส่งผลให้อัตราการหมุนเวียนลูกหนี้การค้า (Account Receivables Turnover) ผันผวน

การผลิตที่ขาดประสิทธิภาพ จัดซื้อที่ไม่ดีขาดอำนาจการต่อรอง มักสะท้อนมาที่วัตถุดิบต้องจัดซื้อมากๆมาตุนไว้ การผลิตที่ไม่ดีและขาดประสิทธิภาพจะทำให้สินค้าระหว่างทำสูง (Work in Process) เช่น การมีของเสีย ของต้องผลิตซ้ำ (reprocess) หรือคงค้างในกระบวนการผลิตสูงกว่ามาตรฐาน สิ่งเหล่านี้จะสะท้อนในอัตราการหมุนเวียนสินค้าคงเหลือ (Inventories Turnover) ผันผวน

ผลสืบเนื่องจากการจัดซื้อที่ขาดประสิทธิภาพ ขาดอำนาจการต่อรองกับผู้ขาย (Suppliers) ทำให้อาจต้องเปลี่ยนผู้ขายบ่อย อัตราการหมุนเวียนเจ้าหนี้การค้า(Account Payables Turnover) ก็จะผันผวนเช่นกัน

ความผันผวนของลูกหนี้การค้าทำให้กระทบต่อกระแสเงินสดไหลเข้า กิจการที่มีรายจ่ายประจำย่อมต้องกู้ยืมระยะสั้นมาเพื่อให้ดำเนินธุรกิจไปต่อได้ ก็ย่อมไม่พ้นการก่อหนี้เช่นกัน การผันผวนในอัตราการหมุนเวียนลูกหนี้การค้า อัตราการหมุนเวียนสินค้าคงเหลือและอัตราการหมุนเวียนเจ้าหนี้การค้า จะทำให้กิจการต้องก่อหนี้เผื่อรักษาและประคับประคองธุรกิจให้ดำเนินต่อไป และหากการขาดประสิทธิภาพนี้ยังดำเนินต่อเนื่อง สุดท้ายบริษัทก็จะเกิดภาวะการก่อหนี้สินที่สูงขึ้นจนกิจการไปไม่รอดได้เช่นกัน เกิดการจัดหาแหล่งทุนที่ไม่สอดคล้องกับการจัดหาสินทรัพย์ ซึ่งทำให้โครงสร้างทุนไม่สอดคล้องกับโครงสร้างสินทรัพย์ของธุรกิจจนล้มละลายได้

การอยู่รอดของธุรกิจจึงไม่ใช่เพียงการเห็นภาพสุดท้าย D/E สูงๆ แต่ทุกกิจการก่อนเกิดภาวะนี้จะสั่งสมการขาดประสทธิภาพมาต่อเนื่องบางกิจการมากกว่าสามถึงห้าปี หรือกว่านั้น ไม่ใช่สามเดือนห้าเดือน

กิจการ start up ต่างๆ ที่ไปไม่รอดแม้จะมาความโดดเด่นในสินค้าที่แตกต่าง มักพบจุดจบไม่นานส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการขาดประสิททธิภาพการจัดการในปัญหาพื้นฐานที่กล่าวมา หลายกิจการเพื่อลดความไม่แน่นอนอันเกิดจาก human error การพัฒนา robot หรือ AI – Artificial Intelligence) เพื่อมาทดแทนคนอาจะช่วยลดความผันผวนลงได้ระดับหนึ่ง

การวัดค่าผันผวนในอัตราส่วน (Standard Deviation) ของอัตราส่วนสามารถใช้เป็นเครื่องชี้ความแข็งแกร่งกิจการในระยะยาวได้ดี และบ่งชี้การอยู่รอดได้


ถ้านำอัตราส่วนการเงินที่วัดได้ในแต่ละช่วงของการรายงานมาวิเคราะห็จะได้ข้อสรุปกิจการเพิ่มอีกในหลายมิติดังนี้

ค่าที่นิ่ง แสดงว่าไม่ผันผวน บอกอะไรเกี่ยวกับบริษัท

           ROAOM*AT ประสิทธิภาพการลงทุนดี รักษาการทำไรดี มี organic growth ในตัว

           ROE – NM*AT*(1+D/E) ประสิทธิภาพการลงทุนดี รักษาการทำไรดี  รักษาระดับการก่อหนี้คงที่

           AT – ประสิทธิภาพการลงทุนดี ตัดสินใจลงทุนดี เหมาะสม customer มี loyalty

           D/E – มีความเข้มแข็งในด้าน solvency มีเครดิตการค้า การกู้ยืมกับสถาบันการเงินดี

           GM – ควบคุมต้นทุนผลิตดี ระบบการผลิตดี  (จัดซื้อและผลิต/โรงงาน)

           OM – ควบคุมค่าใช้จ่ายดี ระบบงบประมาณดี ระบบการควบคุมภายในดี

           NM – ระบบการควบคุมภายในดี ควบคุมต้นทุนการเงิน+ภาษีดี ไม่มีกำไร one-time มากและบ่อย

           ART – มี customer portfolio ดี ล/ค มี Loyalty ต่อสินค้า ต่อธุรกิจ

           IT - ระบบการจัดซื้อผลิต/โรงงาน และ ฝ่ายขายดี ซื้อดี ผลิตดี ขายคล่อง

           APT – มี Bargaining Power of Suppliers

 แนวความคิดนี้มาจากการประยุกต์ด้านสะท้อนจากเรื่อง Six Sigma คือ เรื่อง ซิก ซิกมา มุ่งด้านการผลิตเพื่อลดข้อบกพร่องและของเสีย โดยระดับ 6d คือจุดที่ระดับข้อผิดพลาดที่เกิดจะน้อยมาก แต่ในการวัดความผันผวนของอัตราส่วนการเงิน ไม่ได้ใช้ข้อผิดพลาดแต่วัดค่าปฏิบัติการโดยตรง ซึ่งสะดวกและง่าย เป็นไปได้ในทางปฏิบัติมากที่สุดจากงบการเงินโดยตรง โดย d/m < 10% จะอยู่ในช่วง same as others หรือผันผวนจากค่าเฉลี่ยไม่เกินกว่า ช่วง 85-115 จะครอบคลุม ข้อมูลที่เกิดขึ้น 68.3%

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น