วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

Growth การเติบโต และลักษณะหุ้น (ตอนที่ 2)


Growth การเติบโต และลักษณะหุ้น (ตอนที่ 2)

หุ้น Growth ทั้ง 3 แบบของปีเตอร์ ลินช์ กับ Growth ทางการเงิน ดูอย่างไร

1. Slow Growth  จะอยู่ในอุตสาหกรรมที่ใกล้จุดอิ่มตัว มักจะเป็นธุรกิจที่เก่าแก่ ซึ่งในอดีตวงจรของมันก็เคยเป็นหุ้นโตเร็วมา ราคาหุ้นส่วนจะขยับไปได้ไม่ไกล ถ้าบริษัทไม่ขยายงานเพิ่ม (และมักไม่เน้นขยาย expansion แต่เน้น maintenance) เราจึงซื้อ Growth กับบริษัทเหล่านี้ได้ยาก บริษัทเหล่านั้นมักจะจ่ายเงินปันผลในอัตราที่สูง และ จ่ายสม่ำเสมอ ข้อสังเกต บริษัทไหนที่มีอัตราจ่ายปันผลสูง (High Payout Ratio) แสดงว่าบริษัทนั้นไม่มีวิธีใหม่ๆ ในการขยายงาน ส่วนเท่าไรเรียกว่าสูง ปกติเริ่มเกินกว่า 60% ผมก็จะถือว่ามีเกณฑ์เข้าข่าย จากนั้นจะพิจารณาเรื่องอื่นประกอบ แต่ไม่ใช่ว่า บริษัทที่จ่ายปันผลสูงและสม่ำเสมอไม่น่าลงทุน เพราะบางปีเศรษฐกิจไม่ดีเอาเงินมาจ่ายปันผลดีกว่า บางคนลงทุนเน้น Cash Flow Stream การลงทุนในหุ้นเน้นปันผล หุ้น Defensive Stock ก็จัดเป็นหุ้นโตช้า หุ้นกลุ่มนี้มักจะสวนทิศทางตลาด หรือขึ้นลงตามแนวโน้มตลาดไม่มาก อาจเร็วบ้างช้าบ้างไม่นัก แต่หุ้นกลุ่มนี้เวลาตลาดขึ้น ทั่วไปบริษัทต่างๆ ก็มีกำไรเพิ่ม พวกนี้จะไม่เพิ่มมาก หรืออาจลดเล็กน้อยหรือไม่โตเท่าใด กลุ่มนี้เหมาะกับคนลงทุนยาวๆ ที่ต้องมีติดพอร์ตบ้าง เพราะกลุ่มนี้เวลาวงจรโดยรวมหุ้นซบเซา มันจะยังคงไปของมันเรื่อยๆ เช่น หุ้นพวก utility stock (หุ้นสาธารณูปโภค) หุ้นกลุ่มนี้ส่วนมากจะมีเสถียรภาพสูงภายใต้สภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย หุ้นกลุ่มนี้ควรเน้นการเติบโตแบบ Organic Growth เน้นสร้างประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรธุรกิจให้เกิดประโยชน์มากสุด รักษาระดับ Assets Turnover (AT) และ Operating Margin (OM) ให้สูงและนิ่ง (ไม่ผันผวน) ซึ่งจะทำให้ ROA ดีต่อเนื่องระยะยาว การไม่เน้นขยายงาน (Expansion) จึงมักมีหนี้ไม่ค่อยสูง และ D/E จะนิ่ง



หุ้นโตช้านี้ มักมีเงินสดอาจจะมากแต่ไม่ค่อยลงทุนเพิ่ม D/E ต่ำ อัตราการแกว่งตัวของยอดขายและกำไรต่ำ มี AT จะค่อนข้างคงที่ หรือค่อยลดลง อาจดู FAT (Fixed Assets Turnover) ด้วยก็ได้ ในงบกระแสเงินสด CFI จะมีการจ่ายลงทุนใน PPE ใกล้เคียงหรือต่ำกว่า Depreciation (ค่าเสื่อมราคา) มี CFO > Dividend paid (ในงบกระแสเงินสด) ควรเกิดต่อเนื่อง

การประเมินมูลค่าเหมาะที่จะใช้ DDM และ P/E Payout Model



2. Fast Growth คือหุ้นมีการเติบโตต่อปีสูง (โตขึ้นอย่างต่อเนื่องหลายปีติดต่อกัน) มีอัตราการเติบโตที่สูงมาก เช่นประมาณ 20 -25% ต่อปี ยอดขายเติบโตสูงต่อเนื่อง กำไรโต สินทรัพย์โต หุ้นพวกนี้ในระยะยาวอาจกลายเป็น Blue-Ship เป็นหุ้นที่อยู่ในช่วง Growth Stage ของวงจรอุตสาหกรรมก็จัดอยู่ในกลุ่มนี้ หรืออาจดับลงเมื่อวงจรเข้าสู่ขาลง มักเป็นหุ้น hot ในช่วงนั้นๆ ใครไม่ลงทุนจะรู้สึกว่าตกรถไฟ วงจรอาจนานเป็นปีหรือเกือบสามปีก็ได้ แต่พอวัฏจักรอุตสาหกรรมเริ่มอิ่มตัวหรือเข้าวงจรชะลอตัวจะตกลงอย่างต่อเนื่องยาวนานฟื้นก็ไม่เท่าเดิมแล้ว ส่วนใหญ่จะเป็นกิจการขนาดเล็ก หรือ กลาง หุ้นพวกนี้จะทำกำไรได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ หุ้นโตเร็วไม่จำเป็นต้องอยู่ในอุตสาหกรรมที่โตเร็วเสมอไป หุ้นที่โตเร็วแต่เผอิญสายป่านสั้น คือมีเงินทุนน้อย วงจรเงินสดไม่ดี ขาดดุลยภาพการเติบโต ให้ระวัง บริษัทพวกนี้มักจะหมุนเงินไม่ทัน หายนะจะมาเยือนในไม่ช้า การเติบโตของหุ้นโตเร็ว ต้องเติบโตแบบมีคุณภาพคือการเติบโตแบบสูง(ความสูง) AT จะดีกว่าอุตสาหรรมและนิ่ง ไม่ค่อยผันผวน เป็นการเติบโตแบบยั่งยืน ข้อสังเกตอย่างหนึ่งคืออัตราจ่ายปันผลไม่สูง



หุ้น Fast Growth จะต้องมี CFO เป็นบวกและแกร่ง มีคุณภาพกำไรดี ค่า D/E อาจสูงได้ แต่จะลดลงต่อเนื่อง และมีความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ยสูง (ICR > 4-5 เท่า up) ROA อาจเริ่มต้นต่ำ แต่แนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยมาจาก AT หุ้นโตเร็วจะอยู่ใน growth stage ยอดขายโตเร็ว GM OM NM สูง ทั้งหมดและก็อาจยังเพิ่มขึ้นได้อยู่ สัดส่วนทั้งสามดี ไม่ต้องพึ่ง one-time gain ROE สูง จากกำไร ไม่ใช่ D/E ratio และไม่ใช่การทำ Treasury stock (ซื้อหุ้นคืน) นอกจากนี้ Reinvestment ratio สูงต่อเนื่องหลายปี (> 2.5 จะชัดมาก) การเติบโตแบบสูง คือ การโตโดย GM สูงและเพิ่ม ไม่แกว่ง และ มี Asset หลักโตต่อเนื่อง AT ไม่ตกหรือลดลง มักจะเติบโตแบบ Non-organic Growth

การประเมินมูลค่าเหมาะที่จะใช้ PEG และ P/E Franchise Model



3. Strong Growth or Stalwarts มีอัตราการเติบโตสูงกว่าค่าเฉลี่ยของ Market เช่น อัตราการเติบโตประมาณ 10-20% ต่อปี ค่อนข้างต่อเนื่องหลายปี เป็นการเติบโตแบบยั่งยืน ควรมาจากการโตจากภายใน ไม่ใช่การเพิ่มทุน หรือกู้เงิน (D/E เพิ่มมากขึ้น) ซึ่งหมายถึง Sustainable Growth กำไรที่วัดต้องเป็น operating profit ไม่รวม one-time gain เป็นคุณภาพกำไร หุ้นแข็งแกร่ง (Strong Growth or Stalwarts) สามารถทำกำไรให้แก่นักลงทุนได้พอสมควร ถ้าหากซื้อในจังหวะที่ดี ดังนั้นการซื้อในระดับราคาที่เหมาะสมจะยังคงให้ได้ผลตอบแทนรวมไม่น้อยเกินไป  ส่วนมากหุ้นแข็งแกร่งมักเป็นหุ้นยักษ์ใหญ่ (Blue-Chip Stock หุ้นที่มีพื้นฐานดี) ช่วงที่เศรษฐกิจถดถอย หุ้นยักษ์ใหญ่จะเข็มแข็งกว่าประเภทอื่นๆ หุ้นพวกนี้โอกาสจะทำกำไร 1- 2 เท่าตัวในระยะเวลาสั้นๆเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย หรืออีกนัยหนึ่ง คือ อย่าโลภมากกับหุ้นพวกนี้ หุ้นเติบโตแข็งแกร่งจะมี ROE อยู่ในระดับสูง คือ ROE เฉลี่ยควรอยู่สูงกว่าค่าเฉลี่ยผลตอบแทนคาดหวังระยะยาวของตลาด/อุตสาหกรรม และ ROE ควรไม่ผันผวนมาก กำไรมาจากธุรกิจหลัก



อัตราส่วนคุณภาพกำไร เกินกว่าหนึ่งสม่ำเสมอ นี่คือเกณฑ์ด่านแรก หุ้น Blue-Chip อัตราส่วนทางการเงินต่างๆ ควรต้องค่อนข้างนิ่ง เช่น AR turnover, Inventory turnover ถ้านิ่งแสดงว่าเก็บเงินสม่ำเสมอ ผลิตได้สม่ำเสมอ Asset turnover ค่อนข้างนิ่งแสดงว่า เมื่อสินทรัพย์เพิ่ม (มีการลงทุน) ยอดขายก็เพิ่มด้วยแสดงว่าการลงทุนมีประสิทธิภาพ หุ้น Strong Growth or Stalwarts จะมีดุลยภาพการเจริญเติบโต (Growth Balance) ที่ดีและมี Organic Growth และ Sustainable Growth ใกล้เคียงกัน ดังนั้นหุ้นโตแกร่งจะเรียกว่าครบเครื่องเลยก็ว่าได้  ROA ROE ดี และสูง AT OM GM สูงและนิ่ง วงจรเงินสดก็ดี (ART IT APT) นิ่ง มี CFO+ , QE>1, D/E เหมาะสม, ICR > 3-4, DEBT/CFO < 4 (ธรรมดา < 8)

การประเมินมูลค่าเหมาะที่จะใช้ P/E Franchise Model หรือ P/E Payout Model จะไม่ต่างกันมากนัก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น