วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

Growth การเติบโต และลักษณะหุ้น (ตอนที่ 1)


Growth การเติบโต และลักษณะหุ้น (ตอนที่ 1)

Organic Growth  คือการเติบโตของบริษัทที่เติบโต้วยทรัพยากรหรือสินทรัพย์ที่มีอยู่ของบริษัท (Organic growth is growth that comes from a company's existing businesses) เป็นการเจริญเติบโตที่มาจากธุรกิจหลักของบริษัท ซึ่งอยู่ที่ผู้บริหารจะนำทรัพยากรภายในบริษัทมาทำให้กำไรได้ขนาดไหน Organic Growth จะไม่รวมการเติบโตที่มาจากการควบรวมกิจการอื่น (การลงทุนในบริษัทร่วมที่ทำให้เกิดรายได้จากส่วนแบ่งกำไร) เน้นสินค้าเดิม ลูกค้าเดิม หรือสินค้าเดิม ลูกค้าใหม่ Organic Growth ที่ดีหรือผู้บริหารที่เก่งควรต้องโตเร็วกว่าตลาด การเติบโตแบบ Organic Growth เป็นการเติบโตที่ปลอดภัยและมั่นใจได้มากกว่าการเติบโตด้วยการหันเข้าสู่ ธุรกิจใหม่ๆ กลยุทธ์ธุรกิจ (Corporate Strategy) ควรจะเน้น Stability & Productivity Strategy มักจะอยู่ใน Red Ocean (ทะเลแดง) จึงต้องใช้ กลยุทธ์ทะเลแดงด้วย (ROS) เราจะใช้ ROA (ในที่นี้จะใช้ ROA = NI/Total Asset) เป็นตัวบอก Organic Growth



Non-organic Growth ตรงข้ามกับการเติบโตแบบ Organic Growth การเติบโตแบบ Non-organic ที่พบเห็นได้บ่อยๆ คือ การเติบโตโดยวิธีควบรวมกิจการ (M&A) หรือการลงทุนในกิจการอื่นๆ วิธีนี้บริษัทจะซื้อกิจการเพื่อนำงบการเงินมารวมกัน (หรือบันทึกส่วนแบ่งกำไร แล้วแต่กรณีว่าถือแบบร่วมหรือย่อย) Investment Strategy จะลงทุนได้หลากหลายเช่น การลงทุนแนวดิ่ง Vertical Strategy ขยายให้ครอบคลุม Value Chain (Upstream to Downstream) เพิ่อให้เกิดการประหยัดต่อขนาด (Economy of Scales) กลยุทธ์ธุรกิจ (Corporate Strategy) จะเน้นด้าน Growth Strategy และอาจพ่วง Stability & Productivity Strategy ด้วยโดยขยายการลงทุนเพื่อลดต้นทุนธุรกิจลง มักจะอยู่ใน Red Ocean (ทะเลแดง) เช่นกัน บางบริษัทอาจลงทุนในแนวราบ Horizontal Strategy เพื่อขยายตลาดกลุ่มเป้าหมายให้กว้างขึ้น โดยอาจเน้นการเพิ่มช่องทางการตลาด (Marketing Distribution Channels) หรือการเน้นความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ ที่สินค้ามีความเกี่ยวพันหรือส่งเสริมพึ่งพากัน เช่น ร้านอาหาร ลงทุนเพิ่มในร้านขายน้ำ ขายขนมหวาน เป็นต้น

Non-organic Growth อาจเน้นการลงทุนในแบบ Diversification ซึ่งทำได้ 2 ลักษณะคือ Concentric and Conglomerate Strategy ในรูปแบบ Concentric คล้ายแบบ Vertical & Horizontal Strategy กระจายการลงทุนแต่ยังอยู่ในกลุ่มเดียวกัน เช่น INTUCH หรือกลุ่ม ปตท. ส่วนแบบ Conglomerate Strategy คือหลากหลาย เช่น SCG ที่มีการลงทุนกระจายออกไปมากกว่าธุรกิจวัสดุก่อสร้าง เช่น ปูนซิเมนต์ กระดาษ ปิโตรเคมี เหล็ก ค้าปลีก เป็นต้น หรือ MINT ที่ลงทุนในกลุ่มร้านอาหาร โรงแรม อสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น



Non-organic Growth อาจอยู่ทั้ง Red Ocean (ทะเลแดง) และ Blue Ocean (ทะเลน้ำเงิน) ขึ้นกับธุรกิจที่ขยายลงทุน ลักษณะกลยุธ์จึงหลากหลาย ดังนั้นจึงต้องให้เหมาะสมกับตลาดอุตสาหกรรมที่ลงทุน



Sustainable Growth จะเน้นด้าน Capital Structure การเติบโตนี้ต้องรักษาระดับ D/E ให้คงที่เสมอ แต่ใน Organic Growth ไม่พูดถึง แต่ Organic Growth ก็ไม่ใช่การขยายธุรกิจด้วยการก่อหนี้เพราะมุ่งใช้ทรัพยากรภายในที่มีอยู่ การก่อหนี้หรือเพิ่มทุน ถือเป็นการใช้ External Resources จึงบอกว่าคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน ตรงที่ Organic Growth เน้นทางด้าน Assets Side ส่วน Sustainable Growth เน้นทางด้าน Financing Side ดังนั้น Sustainable Growth หรือการเติบแบบยั่งยืนจะเป็นการเติบโตในระยะยาวที่ไม่ควรต้องเพิ่มทุนหรือก่อหนี้ในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น (ไม่เพิ่ม D/E) ใช้กำไรที่ทำได้ ต่อยอดหรือสร้างการเติบโต ดังนั้นในทางการเงินจึงให้ Sustainable Growth หรือ g(s) = ROE *(1-b) เมื่อ b คืออัตราจ่ายปันผล บางตำราเรียกค่า (1-b) ว่า retainted rate เข้าใจง่ายๆ คือกำไรที่บริษัทเก็บไว้ใช้ขยายธุรกิจนั่นเอง ถ้าเก็บไว้มากก็จะกู้ได้เพิ่มขึ้นตามสัดส่วน D/E ที่มีเดิม การขยายเพิ่มในส่วน financing resources นี้คือแหล่งเงินทุนระยะยาวภายในที่สำคัญของการขยายตัวหรือการเติบโตของบริษัทนั่นเอง



ถ้าพิจารณาจากหลักที่กล่าวไว้ แสดงว่า Sustainable Growth มีส่วนสำคัญ สามส่วนคือ

     -  D/E ต้องนิ่งหรือค่อนข้างคงที่ และเหมาะสมกับลักษณะธุรกิจ

     - Payout ต้องเหมาะสม เพื่อให้กิจการเติบโตและแข่งขันได้ในอุตสาหกรรม

     - ROE ควรต้องไม่น้อยกว่า required rate of return ที่ผู้ถือหุ้นต้องการ



อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเลือกการเติบโตแบบใด ดุลยภาพการเจริญเติบโต (Growth Balance) เป็นเรื่องที่สำคัญต่อกิจการ การวางแผนการเติบโตเพื่อขยายธุรกิจ หรือการเติบโตที่ดีจะต้องมีความสมดุลทั้งสามด้านควบคู่กันไปคือ Growth – CFO – Investing

การเติบโตแบบ Organic Growth ที่ดีนอกจาก ROA AT OM ควรสูงและนิ่งแล้ว กิจการนั้นต้องมี CFO ที่ดีด้วย เพราะถ้ากระแสเงินสดจากการดำเนินงานน้อย การลงทุนพื่อรักษา Organic Growth (ลงทุนแบบ Maintenance) ไม่เพียงพอ ก็ต้องกู้เงินทำให้ D/E เพิ่ม ค่าใช้จ่ายต้นทุนการเงิน (ดอกเบี้ยจ่าย) เพิ่ม กำไรสุทธิจะลดลงหรือเพิ่มน้อยกว่าการขยายตัวสินทรัพย์ ROA ก็จะลดลง ก็หมายถึง Organic Growth ลดลง การพิจารณา Sustainable ก็เช่นเดียวกัน

Investing นั้นหมายถึงการลงทุนใน CAPEX ทั้ง Maintenance & Expansion และรวมถึงการลงทุนในส่วนเพิ่มของ Working Capital ด้วย ทุกๆ การเติบโตคือยอดขายเติบโต ลูกหนี้เพิ่มขึ้น ผลิตต้องมากขึ้น สินค้าคงเหลือต้องมากขึ้น ส่วนที่เพิ่มขึ้นในทุนหมุนเวียนสุทธินี้ (หักเจ้าหนี้การค้าที่เพิ่มด้วย) ก็คือ Investing ด้วยเช่นกัน การลงทุนในธุรกิจที่ Growth ที่ถูกต้องควรพิจาณาด้วยว่ารักษาดุลยภาพการเจริญเติบโต (Growth Balance) ด้วยหรือไม่ เพราะหุ้นแบบนั้นจะรักษาการเติบโตได้ยั่งยืนยาก อาจจะเกิดได้ไม่ถึงปีด้วยซ้ำ มีตัวอย่างหุ้นที่โตแล้วดับลงในเวลาไม่นาน บางคนก็มีประสบการณ์ลงทุนหุ้นที่คิดว่า Growth แล้วดอยยาวนานข้ามปีกันเลย เพราะปรากฎว่าไม่ได้ Growth จริง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น