Growth
การเติบโต และลักษณะหุ้น (ตอนที่ 1)
Organic
Growth คือการเติบโตของบริษัทที่เติบโต้วยทรัพยากรหรือสินทรัพย์ที่มีอยู่ของบริษัท
(Organic growth is growth that comes from a company's existing
businesses) เป็นการเจริญเติบโตที่มาจากธุรกิจหลักของบริษัท
ซึ่งอยู่ที่ผู้บริหารจะนำทรัพยากรภายในบริษัทมาทำให้กำไรได้ขนาดไหน Organic
Growth จะไม่รวมการเติบโตที่มาจากการควบรวมกิจการอื่น (การลงทุนในบริษัทร่วมที่ทำให้เกิดรายได้จากส่วนแบ่งกำไร) เน้นสินค้าเดิม
ลูกค้าเดิม หรือสินค้าเดิม ลูกค้าใหม่ Organic Growth ที่ดีหรือผู้บริหารที่เก่งควรต้องโตเร็วกว่าตลาด
การเติบโตแบบ Organic Growth เป็นการเติบโตที่ปลอดภัยและมั่นใจได้มากกว่าการเติบโตด้วยการหันเข้าสู่
ธุรกิจใหม่ๆ กลยุทธ์ธุรกิจ (Corporate Strategy) ควรจะเน้น
Stability & Productivity Strategy มักจะอยู่ใน Red
Ocean (ทะเลแดง) จึงต้องใช้ กลยุทธ์ทะเลแดงด้วย (ROS) เราจะใช้ ROA (ในที่นี้จะใช้ ROA = NI/Total
Asset) เป็นตัวบอก Organic Growth
Non-organic
Growth ตรงข้ามกับการเติบโตแบบ Organic Growth
การเติบโตแบบ Non-organic ที่พบเห็นได้บ่อยๆ คือ
การเติบโตโดยวิธีควบรวมกิจการ (M&A) หรือการลงทุนในกิจการอื่นๆ
วิธีนี้บริษัทจะซื้อกิจการเพื่อนำงบการเงินมารวมกัน (หรือบันทึกส่วนแบ่งกำไร
แล้วแต่กรณีว่าถือแบบร่วมหรือย่อย) Investment Strategy จะลงทุนได้หลากหลายเช่น
การลงทุนแนวดิ่ง Vertical Strategy ขยายให้ครอบคลุม Value
Chain (Upstream to Downstream) เพิ่อให้เกิดการประหยัดต่อขนาด (Economy
of Scales) กลยุทธ์ธุรกิจ (Corporate Strategy) จะเน้นด้าน Growth Strategy และอาจพ่วง
Stability & Productivity Strategy ด้วยโดยขยายการลงทุนเพื่อลดต้นทุนธุรกิจลง
มักจะอยู่ใน Red Ocean (ทะเลแดง) เช่นกัน บางบริษัทอาจลงทุนในแนวราบ
Horizontal Strategy เพื่อขยายตลาดกลุ่มเป้าหมายให้กว้างขึ้น
โดยอาจเน้นการเพิ่มช่องทางการตลาด (Marketing Distribution Channels) หรือการเน้นความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ ที่สินค้ามีความเกี่ยวพันหรือส่งเสริมพึ่งพากัน
เช่น ร้านอาหาร ลงทุนเพิ่มในร้านขายน้ำ ขายขนมหวาน เป็นต้น
Non-organic
Growth อาจเน้นการลงทุนในแบบ Diversification ซึ่งทำได้
2 ลักษณะคือ Concentric and Conglomerate Strategy ในรูปแบบ Concentric คล้ายแบบ Vertical & Horizontal Strategy กระจายการลงทุนแต่ยังอยู่ในกลุ่มเดียวกัน
เช่น INTUCH หรือกลุ่ม ปตท. ส่วนแบบ Conglomerate
Strategy คือหลากหลาย เช่น SCG ที่มีการลงทุนกระจายออกไปมากกว่าธุรกิจวัสดุก่อสร้าง
เช่น ปูนซิเมนต์ กระดาษ ปิโตรเคมี เหล็ก ค้าปลีก เป็นต้น หรือ MINT ที่ลงทุนในกลุ่มร้านอาหาร โรงแรม อสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น
Non-organic
Growth อาจอยู่ทั้ง Red Ocean (ทะเลแดง) และ Blue
Ocean (ทะเลน้ำเงิน) ขึ้นกับธุรกิจที่ขยายลงทุน
ลักษณะกลยุธ์จึงหลากหลาย ดังนั้นจึงต้องให้เหมาะสมกับตลาดอุตสาหกรรมที่ลงทุน
Sustainable Growth จะเน้นด้าน Capital Structure การเติบโตนี้ต้องรักษาระดับ D/E
ให้คงที่เสมอ แต่ใน Organic Growth ไม่พูดถึง
แต่ Organic Growth
ก็ไม่ใช่การขยายธุรกิจด้วยการก่อหนี้เพราะมุ่งใช้ทรัพยากรภายในที่มีอยู่
การก่อหนี้หรือเพิ่มทุน ถือเป็นการใช้ External Resources จึงบอกว่าคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน
ตรงที่ Organic Growth เน้นทางด้าน Assets Side ส่วน Sustainable Growth เน้นทางด้าน Financing
Side ดังนั้น
Sustainable
Growth หรือการเติบแบบยั่งยืนจะเป็นการเติบโตในระยะยาวที่ไม่ควรต้องเพิ่มทุนหรือก่อหนี้ในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น
(ไม่เพิ่ม D/E) ใช้กำไรที่ทำได้ ต่อยอดหรือสร้างการเติบโต
ดังนั้นในทางการเงินจึงให้ Sustainable Growth หรือ g(s) = ROE *(1-b) เมื่อ b คืออัตราจ่ายปันผล บางตำราเรียกค่า (1-b)
ว่า retainted rate เข้าใจง่ายๆ
คือกำไรที่บริษัทเก็บไว้ใช้ขยายธุรกิจนั่นเอง
ถ้าเก็บไว้มากก็จะกู้ได้เพิ่มขึ้นตามสัดส่วน D/E ที่มีเดิม
การขยายเพิ่มในส่วน financing resources นี้คือแหล่งเงินทุนระยะยาวภายในที่สำคัญของการขยายตัวหรือการเติบโตของบริษัทนั่นเอง
ถ้าพิจารณาจากหลักที่กล่าวไว้
แสดงว่า Sustainable
Growth มีส่วนสำคัญ
สามส่วนคือ
- D/E ต้องนิ่งหรือค่อนข้างคงที่ และเหมาะสมกับลักษณะธุรกิจ
-
Payout ต้องเหมาะสม เพื่อให้กิจการเติบโตและแข่งขันได้ในอุตสาหกรรม
- ROE ควรต้องไม่น้อยกว่า required rate of return
ที่ผู้ถือหุ้นต้องการ
อย่างไรก็ตาม
ไม่ว่าจะเลือกการเติบโตแบบใด ดุลยภาพการเจริญเติบโต (Growth
Balance) เป็นเรื่องที่สำคัญต่อกิจการ การวางแผนการเติบโตเพื่อขยายธุรกิจ
หรือการเติบโตที่ดีจะต้องมีความสมดุลทั้งสามด้านควบคู่กันไปคือ Growth –
CFO – Investing
การเติบโตแบบ
Organic
Growth ที่ดีนอกจาก ROA AT OM ควรสูงและนิ่งแล้ว
กิจการนั้นต้องมี CFO ที่ดีด้วย
เพราะถ้ากระแสเงินสดจากการดำเนินงานน้อย การลงทุนพื่อรักษา Organic Growth (ลงทุนแบบ Maintenance) ไม่เพียงพอ ก็ต้องกู้เงินทำให้
D/E เพิ่ม ค่าใช้จ่ายต้นทุนการเงิน (ดอกเบี้ยจ่าย) เพิ่ม
กำไรสุทธิจะลดลงหรือเพิ่มน้อยกว่าการขยายตัวสินทรัพย์ ROA ก็จะลดลง
ก็หมายถึง Organic Growth ลดลง การพิจารณา Sustainable ก็เช่นเดียวกัน
Investing นั้นหมายถึงการลงทุนใน CAPEX ทั้ง Maintenance
& Expansion และรวมถึงการลงทุนในส่วนเพิ่มของ Working
Capital ด้วย ทุกๆ การเติบโตคือยอดขายเติบโต ลูกหนี้เพิ่มขึ้น
ผลิตต้องมากขึ้น สินค้าคงเหลือต้องมากขึ้น ส่วนที่เพิ่มขึ้นในทุนหมุนเวียนสุทธินี้
(หักเจ้าหนี้การค้าที่เพิ่มด้วย) ก็คือ Investing ด้วยเช่นกัน
การลงทุนในธุรกิจที่ Growth ที่ถูกต้องควรพิจาณาด้วยว่ารักษาดุลยภาพการเจริญเติบโต
(Growth Balance) ด้วยหรือไม่
เพราะหุ้นแบบนั้นจะรักษาการเติบโตได้ยั่งยืนยาก อาจจะเกิดได้ไม่ถึงปีด้วยซ้ำ
มีตัวอย่างหุ้นที่โตแล้วดับลงในเวลาไม่นาน บางคนก็มีประสบการณ์ลงทุนหุ้นที่คิดว่า Growth
แล้วดอยยาวนานข้ามปีกันเลย เพราะปรากฎว่าไม่ได้ Growth จริง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น