วันศุกร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2559

มาตรฐานบัญชีใหม่เรื่องเกี่ยวกับการรับรู้รายได้


ได้อ่านพบเรื่องมาตรฐานบัญชีใหม่เรื่องเกี่ยวกับการรับรู้รายได้

เครดิตบางส่วนของ CPA Solution จาก Deloitte

มาตรฐานการบัญชีเกี่ยวกับรายได้ (TAS 18, TAS 11) จะถูกยกเลิกไปใช้ IFRS 15 แทนนะครับ ซึ่งจะเป็นแนวทางปฏิบัติที่สามารถปรับใช้กับธุรกรรมรายได้ส่วนใหญ่ โดยต้องปฏิบัติตาม 5 ขั้นตอน

สมมติธุรกรรมง่ายๆ ได้แก่การขายกาแฟสด โปรฯ 10 แถม 1

1) สัญญาที่ทำกับลูกค้าคือ ทุกๆ ครั้งที่ซื้อ 1 แก้วๆ ละ 55 บาทจะได้แต้มสะสม 1 แต้มเมื่อครบ 10 แต้มจะแลกซื้อได้ 1 แก้ว

2) ภาระผูกพันในการดำเนินงาน (performance obligations) คือการส่งมอบกาแฟ 11 แก้ว ถ้าลูกค้าซื้อครบ 10 แก้ว

3) มูลค่าธุรกรรม (กรณีลูกค้าใช้สิทธิ์) จะเท่ากับ 550 บาท (55 บาท x 10 แก้ว)

4) ดังนั้น มูลค่ากาแฟแต่ละแก้วจะเท่ากับ 50 บาท (55 บาท x 10/11)

5) ซึ่งเมื่อร้านกาแฟส่งมอบกาแฟ 10 แก้วแรก ร้านกาแฟต้องรับรู้รายได้เพียงแก้วละ 50 บาท เนื่องจากยังมีภาระผูกพันที่ต้องส่งมอบกาแฟอีก 0.1 แก้ว ในอนาคต จึงต้องตั้งหนี้รอไว้ 5 บาท ซึ่งเมื่อลูกค้ามาใช้สิทธิ์แก้วที่ 11 ร้านค้าก็จะต้องกลับรายการหนี้สิน 50 บาทเป็นรายได้ เมื่อส่งมอบกาแฟแก้วสุดท้าย

ถ้าพี่น้องทำธุรกิจแบบปกติทั่วไป IFRS 15 จะไม่ส่งผลกระทบกับกิจการมากมายนัก แต่ถ้าการทำธุรกิจมีภาระผูกพันหลายๆ อย่างประกอบกันการกำหนดมูลค่าของรายได้ก็จะซับซ้อนขึ้นครับ ต้องลองศึกษาการปรับใช้ตามแนวทางข้างต้นดูนะครับ ^^

ขยายมุมองเพิมเติม

ความจริงอาจคล้ายๆ กันกับในหลักการนี้มีสอนในบัญชีขั้นสูงสองสมัยผมเรียนเรื่องการบันทึกค่าใช้จ่ายกรณีมีการรับประกันซ่อมฟรีใน 1 2 หรือ 3 ปี ไม่ใช่เรื่องเดียวกันก็จริง ในเรื่องการรับประกันซ่อม (Guarantee) กิจการต้องตั้งสำรองค่าใช้จ่ายครับ เพราะมันคือภาระที่จะเกิคขึ้นได้ในอนาคต ดังนั้นทุกยอดขายจะมีค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้น แต่กรณีนั้นเป็นการประมาณด้านค่าใช้จ่ายขึ้น ที่ว่าหลักการคล้ายกันคือ ไม่ให้กิจการไม่ควรรับรู้กำไรมากเกินจริง แต่การ Guarantee ใช้การคาดการณ์ว่าจะเกิดค่าใช้จ่าย เช่นขาย 100 บาท ต้องหักค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดจากการซ่อม 10 บาท (คชจ นี้คาดการณ์ขึ้นจากประสบการณ์ที่เกิด) กำไรจากการขาย (สมมติไม่รวม คชจ อื่นๆ) เช่น กรณีข้างบนในการให้โปรแถม 1 สมมติ ต้นทุนกาแฟแก้วละ 30 ขายปกติกำไรแก้วละ 25 ก็เหลือ 20 เพราะเมื่อขาย 10 แก้ว กำไร เท่ากับ 10x55 - 11x30 = 550-330 = 220 ขายกาแฟส่งมอบให้ลูกค้า 11 แก้ว เท่ากับกำไรแก้วละ 20 เพียงแต่กลับกันแทนที่จะประมาณค่าใช้จ่าย เพิ่มจาก 30 เป็น 35 ก็ใช้การลดรายได้ลงแทนจาก 55 เหลือ 50 แทน ผลคือ GM จะดีขึ้นเพราะ GM = GP/Sales ซึ่ง คล้ายกับว่าGP Gross profit คงที่อยู่แล้วไม่ว่าจะวัด (ลงบัญชี) แบบใด แต่ตัวหารลดลง (ขาย) อย่ามองว่าคือ creative accounting แต่ให้มองเชิงกลยุทธ์ทางธุรกิจแทน กิจการที่ใช่โปรฯ กระตุ้นยอดขาย จะทำให้ยอดขายสูงขึ้นเม็ดเข้ากิจการดีขึ้น แต่ต้องระวัง เพราะการคิดคร่าวๆ จะดูเหมือนการใช้โปรฯ GM สูงขัน ความจริงอาจไม่ใช่ เพราะในทางบัญชี ต้นทุนขายของสินค้าแถมโปรจะต้องลงเป็นต้นทุนขาย GM ภาพรวมจะลดลง ถ้าถูกทางยอมส่งผลดีกับกิจการเพราะเม็ดกำไรโดยรวมเพิ่มได้ ถ้าตรงข้ามยอดขายไม่กระเตื้องก็จะวิเคราะห์ผิดทางได้ ทางแก้ ให้ดู AT (Asset Turnover) ประกอบ ถ้าถูกทาง AT ต้องสูงขึ้นด้วย นั่นคือขายมากขึ้น ถ้าใช้โปรแล้วอัตรากำไรรวมเพิ่มแต่ AT ไม่เพิ่มก็ต้องระวังแล้วละครับ

การลงรายการทางบัญชี เมื่อขายการแฟให้ลูกค้า แก้วที่ 1 ถึง 10

เดบิต เงินสด_____________55  ได้เงินสดมาจริงก็ต้องลงตามที่รับจริง

เครดิต ขาย_____________________50   ลงรับรู้ยอดขายเพียง  50 บาท

เครดิต หนี้สินที่อาจเกิดขึ้น_________5

สมมติมีต้นทุนขายทั้งสิ้น 30 บาท วันขายก็ต้องลงต้นทุนตอนขายคู่กันด้วย

เดบิต ต้นทุนขาย__________30 ลงต้นทุนขายปกติเพราะขายจริง 1 แก้ว

เครดิต สินค้าคงเหลือ____________30 ตัดวัตถุดิบที่ต้องใช้ทำกาแฟออก

ลงแบบนี้ไปตลอดที่มีโปรจนกว่าจะจบโปร

วันที่ลูกค้ามาใช้โปรแก้วแรกของ 10 แถม 1 ก็ลงบัญชีดังนี้

เดบิต หนี้สินที่อาจเกิดขึ้น_________5 ตัดหนี้สินออกเพราะลูกค้าใช้สิทธิ์

เดบิต ค่าใช้จ่ายในการขาย________25 ส่วนต่างรับรู้เป็นค่าใช้จ่ายในการขาย

เครดิต สินค้าคงเหลือ____________30 ตัดวัตถุดิบที่ต้องใช้ทำกาแฟออก (ใช้จริง)

ความซับซ้อนทางบัญชีจะเกิดขึ้นหากโปรนั้นเกิดข้ามงวดอาตตัดเป็นจ่าใช้จ่ายบางส่วน ที่เหลือตั้งเป็นสินทรัพย์ (ค่าใช้จ่ายรอตัด)  สมมติตามตัวอย่าง งวดนั้นขายกาแฟพอดี 10 แก้ว ใช้สิทธิ์งวดนั้น โปรก็จบพอดี กิจการนั้นจะแสดงกำไรขาดทุนดังนี้

ตย. ที่ 1 มีโปร 10 แถม 1

ขาย____________________500 (50x10) ขายสิบแก้ว

ต้นทุนขาย_______________330 (30x11) ต้นทุนกาแฟ 11 แก้ว

ค่าใช้จ่ายในการขาย_________25 เกิดค่าใช้จ่ายขึ้น

กำไรจากการดำเนินงาน_____145

ถ้ามองให้ดี 25 คือกำไรที่หายไป 1 แก้วของราคาปกติ = 55-30 = 25 นั่นเอง บางคนอาจคิดว่าคุ้มไหม

ถ้าสมมติไม่มีโปร อาจขายได้แค่ราว 5 แก้ว ทำโปรยอดขายเพิ่ม 50%

ไม่ทำโปร จะได้งบกำไรขาดทุนดังนี้

ตย. ที่ 2 ไม่มีโปร ยอดขายเดิมได้แค่ 5 แก้ว

ขาย____________________275 (55x5) ขายห้าแก้ว

ต้นทุนขาย_______________150 (30x5) ต้นทุนกาแฟ 5 แก้ว

กำไรจากการดำเนินงาน____125

สังเกตให้ดี โปรแบบนี้ถ้าอัตรากำไรขั้นต้นสูงๆ อยู่แล้ว และไม่เพิ่มยอดขายมากๆ ก็จะไม่คุ้ม เพราะกำไรที่หายไป จะต้องบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายไม่ใช่หายไปเฉย ดังนั้น เช่นเดิมขายได้ 8 แก้ว ออกโปรแล้วขายได้แค่ 10 แก้ว

ตย. ที่ 3 ไม่มีโปร ยอดขายเดิมได้ 8 แก้ว

ขาย____________________440 (55x8) ขายสิบแก้ว

ต้นทุนขาย_______________240 (30x8) ต้นทุนกาแฟ 11 แก้ว

กำไรจากการดำเนินงาน_____200

GM ออกโปร = 170/500 =35% 

ตย. 3 GM ไม่ออกโปร และยอดขายเพิ่มน้อย = 200/440 =45.5% ตัวอย่างสุดท้าย (25/55 = 45.5%)

ตย. 2 GM ไม่ออกโปร และยอดขายเพิ่มมาก = 125/275 = 45.5% ตัวอย่างสุดท้าย (25/55 = 45.5%)

จากตัวอย่าง จะไม่ต่างกับการลดราคาสินค้า ถ้าสินค้าไม่มี Price Elasticity of Dmand หรือความยืดหยุ่นราคาต่ออุปสงค์จะไม่ได้ผลดีนัก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น