Breakdown P/E และ Growth Concept
พอดีได้อ่านเรื่องความสัมพันธ์ P/E, P/BV และ
ROE น่าสนใจครับ และส่วนตัวก็ใช้ดูคร่าวๆ เหมือนกัน
แต่ก็ต้องบอกหลายคนว่า ต้องเข้าใจนะครับว่ามันใช้เป็น indicator ได้ แต่อย่าเอาตัวเลขไปใช้ตรงๆนะครับ เพราะ ROE จริงๆ
ไม่ใช่ (P/BV) / (P/E) แต่เท่ากับ กำไรสุทธิ หาร
ส่วนของผู้ถือหุ้นเฉลี่ย ซึ่งตัวเลขออกมานั้น ค่าของ (P/BV) / (P/E) จะออกมาต่ำกว่าหรือสูงกว่าเพราะ
ROE ของวิธีดังกล่าวคือ E/BV = กำไรหารด้วยมูลค่าตามบัญชี
ณ วันสิ้นงวดล่าสุดซึ่งไม่ได้เฉลี่ย การนำไปใช้ควรดูในลักษณะแนวโน้มว่าเพิ่มขึ้น
ดีขึ้น หรือว่าลดลง แย่ลง ในกลุ่มดียวกัน ใครมากกว่าหรือน้อยกว่า เช่น SCP ณ 27/04/59 P/E = 9.01,
P/BV =1.68, ROE ล่าสุด ปี 2558 = 19.62% ซึ่ง PBV/PE = 1.68/9.01
= 18.65% จะเห็นว่าต่างกัน ต่ำกว่าที่คำนวณจากงบเล็กน้อย
เราเอาไว้ใช้ประเมินกว้างๆ คร่าวๆ ได้ครับคนที่ใช้บ่อยๆ จะรู้ว่าต้องบวกลบเล็กน้อยราว
1-2% สิ่งสำคัญคงไม่ได้อยู่เพียงทั้งสามค่ามีความสัมพันธ์กันอย่างเดียว
แต่มันบ่งบอกบางอย่างได้ด้วย จากก่อนหน้า
Earning Yield (k) = E/P = กำไรต่อหุ้นหารราคา =
1/PE หรือส่วนกลับ P/E
บริษัททำกำไรเท่าไรเมื่อเทียบกับราคาหุ้น และจากความสัมพันธ์ P/E, P/BV
และ ROE
ROE = (P/BV) / (P/E) =
P/BV * E/P = Earnings Yield * P/BV
P = BV * ROE/Earnings Yield
ราคาหุ้น จึงขึ้นกับมูลค่าหุ้นตามบัญชีคูณกับ
ความสามารถในการทำกำไรให้ผู้ถือหุ้นเหนือกว่าอัตราการทำกำไรของบริษัทเมื่อเทียบราคา
ดังนั้นบริษัทที่มีความสามารถในการทำกำไรให้ผู้ถือหุ้นสูงกว่า Earning
Yield ยิ่งมาก ย่อมมีราคาที่มากตามไปด้วย (Earning Yield นี้ให้มองที่ Expected Earning Yield)
จากที่เคยกล่าวไว้ว่า สูตร Franchise P/E คือ P/E
Ratio < Earnings Yield + Growth Rate หรือ
P/E = Tangible
P/E + Franchise P/E = (1/k) + (EF*G)
หรือ
เขียนเต็มๆ ใหม่ว่า =
(1/k) + [{(1/k) - (1/ROE)}* g/(k-g)]
Tangible
P/E = (1/k) ส่วนกลับ Earning Yield
Franchise
P/E = Franchise Factor (FF) x Growth Factor (G)
Franchise
Factor (FF) = {(1/k) - (1/ROE)}
Growth
Factor (G) = g/(k-g) = g/ Dividend Yield
When
(k-g) = Dividend Yield
ซึ่งเป็นอีกสูตรหนึ่งในการหา
P/E โดยไม่ต้องใช้ค่า payout ratio
ปกติเรากำหนดค่า P/E โดยใช้ค่าอัตราปันผลจ่าย
หรือ P/E =
Payout ratio / Dividend Yield
ทั้งสองสูตรยังคงยึดหลัก
g = ROE *
(1 - Payout ratio) = Sustainable Growth
ซึ่งตรงนี่สำคัญที่สุดที่ต้องเข้าใจไม่ใช่ growth อะไรก็ได้ใส่มั่วๆ
เข้าไป บริษัทได้ ROE ปีละ 15% จะให้มี
sustainable growth ปีละ 25% ย่อมเป็นไปไม่ได้
การเพิ่มการเติบโตทำได้ ซึ่งในทางการเงินทำได้สี่วิธีคือ เพิ่ม Leverage
(เพิ่ม D/E) ปรับอัตราจ่ายปันผล เพิ่มทุน
หรือเพิ่ม ROE (เพิ่มความสามารถทำกำไร)
g
หรือการเติบโตในความหมายทางการเงิน ทั่วไปคือ การเติบโตของกำไร โดยมีสมมติฐานว่าบริษัทมีความสามารถในการทำกำไรต่างๆคงที่
คือ GM OM NM AT คงที่ วงจรเงินสดก็คงที่
ดังนั้นการเติบโตของกำไรก็คือการเติบโตของยอดขายนั่นเอง
สินทรัพย์คือที่มาของยอดขาย
สินทรัพย์โดยทั่วไปเพิ่มขึ้นจากกำไรสะสมที่กิจการเก็บกำไรไว้ไม่จ่ายคืนผู้ถือหุ้นไปทั้งหมด
retain earnings นี้เองที่ทำให้เกิด sustainable
growth มี D/E คงที่ ค่า D/E ที่คงที่ไม่เพิ่มไม่ลด ย่อมทำให้ค่า expected return
ของผู้ถือหุ้นคงที่ (beta คงที่เมื่อ D/E คงที่) บริษัทที่สร้าง ROE สูง
ย่อมสร้างการเติบโตได้มากจากกำไรที่เก็บไว้ไม่จ่ายปันผล g จึงเท่ากับ
ROE * (1-payout)
กำไรที่เก็บไว้มาก
ROE ก็สูงย่อมมีแนวโน้มเติบโตได้เร็ว เพราะเอากำไรไปลงทุนสร้างสินทรัพย์
โดยหลักการทั่วไปถ้าสินทรัพย์โต ยอดขายจะเพิ่มตาม (ประสิทธิภาพ turnover ต่างๆ คงที่ AT FAT A/RT IT A/PT)
ดังนั้นการที่บางกิจการขยายตัวโดยการกู้ แน่นอนว่าสินทรัพย์โต ROE จะเพิ่ม แต่การที่มี D/E สูงขึ้น ค่า expected
return ของผู้ถือหุ้นจะเพิ่มขึ้น (ตามทฤษฎี CAPM-beta สูงขึ้นจาก D/E เพิ่ม)
P/E = (1/k) + [{(1/k) - (1/ROE)}* g/(k-g)]
จากสมการ
Franchise
P/E = [{(1/k) - (1/ROE)}* g/(k-g)]
ถ้าพิจารณากว้างๆ
ค่า k ที่มากขึ้นพร้อมๆกับค่า ROE ที่เพิ่ม
ย่อมไม่ได้เพิ่ม Franchise P/E เลย การกู้ให้เกิด D/E
มากๆ เพื่อเติบโต
ไม่เพิ่มมูลค่าเท่าใด (ยกเว้นอัตรา D/E ต่ำกว่าค่าที่ควรเป็น)
การเติบโตโดยการเพิ่มสัดส่วน
D/E จึงไม่เกิดประโยชน์ การเพิ่ม ROE ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
เพราะการแข่งขันที่สูงขึ้น ถ้าไม่มี Moats ที่แข็งแรงการสร้างความสามารถในการทำกำไรที่ยั่งยืนยาวนานย่อมยากมาก
(ส่วนมากทำได้เพียงสั้นๆ ไม่กี่ปี่) ส่วนการปรับอัตราจ่ายปันผลก็เกิด conflict
of interest ระหว่างนักลงทุนกับกิจการ คนลงทุนก็คาดหวังเงินปันผลที่เพียงพอในระดับที่คาดหวัง
สุดท้ายถ้าจะเพิ่มทุนเพื่อขยายกิจการ ก็ตอบคำถามนักลงทุน (ผู้ถือหุ้น)
ว่าเขาจะได้อะไร คุ้มหรือไม่ในการลงทุนหากเปรียบเทียบกับธุรกิจอื่น (ถ้าต้องเอาเงินมาจม)
ในทางทฤษฎี ควรจะเพิ่มทุนหรือจ่ายปันผลเท่าใดต้องพิจารณาว่า g-i >
g-s
g-i = industry growth การเติบโตของอุตสาหกรรม
g-s = sustainable growth
การเติบโตภายในของธุรกิจ
ถ้าอุตสาหกรรมโตมากกว่า sustainable growth เช่นอุตสาหกรรมโต
20% กิจการมี ROE 25% จ่ายปันผลในอัตราปีละ
40%
g-s = 25% * ( 1-0.4) = 15%
< g-i 20%
ยอดขายโต 20%
กิจการเก็บกำไรไว้ยอดขายโตเพียง 15% ทำไม่พอขาย
ส่วนแบ่งตลาดจะหายไป ผู้ถือหุ้นยินดีเพิ่มทุนเพราะจะได้ปันผลเพิ่มขึ้น แบบนี้เพิ่มทุนผู้ถือหุ้นโอเค
อีกแนวทางก็คือปรับอัตราจ่ายปันผลลงเหลือ 20% g-s = 25% *
(1-0.2) = 20% ยอมลดอัตราจ่ายปันผลลงเพิ่อไปรับเม็ดเงินปันผลที่มากขึ้นในวันข้างหน้า
ดังนั้นการเพิ่มทุนต้องเพิ่มเมื่อ g-i > g-s
จึงดีที่สุด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น