เวลาลงทุนควรดูหรือคำนึงถึงอะไร
ดังที่กล่าวมาตลอดว่า
การลงทุนที่ปลอดภัยและถูกต้องแท้จริงคือ การลงทุนระยะยาว หวังตอบแทนในลักษณะ Passive
Income ซึ่งเราจะมั่นใจในระดับหนึ่งว่าระยะยาวจะให้ผลตอบแทนได้ต่อเนื่องจากเงินปันผลพอประมาณ
ดังที่กล่าวในบทนำว่าปีแรกเมื่อเทียบกับเงินลงทุนจะไม่มากนักแต่การเติบโตของกำไรหรือเงินปันผลที่เกิดขึ้นเมื่อเทียบกับเงินลงทุนขั้นต้นแล้วจะคุ้มค่ามากเพียงพอในระยะยาวโดยไม่ต้องคิดรวมการเติบในมูลค่า
บางบริษัท ราคาอาจเพิ่มก็จริง แต่จ่ายปันผลไม่ต่อต่อเนื่อง พอจ่ายบ้างไม่จ่ายบ้าง
หรือจ่ายขึ้นๆลงๆ มากไร้ทิศทาง ย่อมไม่ใช่หุ้นในคำนิยามของลงทุน
แต่เป็นการเก็งกำไรราคา เพียงแต่ยาวขึ้นมากกว่าวันสองวันเท่านั้น
ดังนั้นเพื่อได้หุ้นลักษณะดังกล่าว เราต้องคำนึงถึง
1.
กิจการต้องมีกำไรปกติโตต่อเนื่อง
การดูกำไรนี้ต้องปรับปรับ เอารายการ one-time
gain ออก ยกตัวอย่างบริษัท CPF ซึ่งมีกำไรตามงบกำไรขาดทุน
กว่าหมื่นล้านบาท แต่ถ้าปรับบางรายการออกที่ไม่เกี่ยวกับรายการการค้าปกติ รายการ
เช่นรายการกำไรจากการขายเงินลงทุน กำไรที่เกิดจากการตีราคาซึ่งไม่เกี่ยวกับการค้าขายปกติ
เช่น กำไรจากการเปลี่ยนแปลงมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์ชีวภาพ
เป็นต้นจะเห็นได้ชัดเจนว่า กำไรจากการค้าปกติจะลดลงหายไปมาก
เปรียบเหมือนกับว่าบริษัททำมาหากินจากการซื้อขายเงินลงทุน และพึ่งพาการตีราคาสินทรัพย์ชีวภาพ ซึ่งหมายถึง หมู ไก่ ปลา เป็นต้น
ที่เลี้ยงไว้เมื่ออกลูกก็ตีราคาเพื่อบันทึกมูลค่า เป็นต้น
บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด
(มหาชน) และบริษัทย่อย
|
|||||
2557
|
|
2556
|
2555
|
||
กำไรสำหรับปี
|
14,229,392
|
9,401,946
|
21,019,023
|
||
รายการปรับปรุง one-time หลักๆ
|
|||||
กำไรจากการขายเงินลงทุน
|
(4,662,284)
|
(8,218,523)
|
(6,008,871)
|
||
กำไรจากการขายอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน
|
(12,840)
|
-
|
5
|
||
ขาดทุน (กำไร) จากการขายที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์
|
13,292
|
(104,358)
|
(470,810)
|
||
ขาดทุนจากการตัดจำหน่ายสินทรัพย์ไม่มีตัวตนอื่น
|
2,028
|
-
|
|||
ขาดทุนจากการตัดจำหน่ายอาคารและอุปกรณ์
|
121,154
|
94,627
|
66,424
|
||
ขาดทุนจากการด้อยค่าของอาคารและอุปกรณ์
|
60,601
|
-
|
|||
ขาดทุน (กำไร)
จากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง
|
(259,791)
|
(124,463)
|
(318,855)
|
||
กำไรจากการเปลี่ยนแปลงมูลค่ายุติธรรม
|
|||||
ของสินทรัพย์ชีวภาพ
|
(2,625,957)
|
(1,626,905)
|
(2,044,742)
|
||
ผลขาดทุนจากการลดมูลค่าเงินลงทุน
|
-
|
-
|
(309,481)
|
||
กำไรจากการเปลี่ยนแปลงมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนในบริษัทร่วม
|
|
|
|
(8,673,448)
|
|
6,865,595
|
|
(577,676)
|
3,259,245
|
กำไรในปี
2555
(2012) ที่ออกมาสูงมาก การที่กิจการมีรายการที่เกิดจาก one-time
มากทำให้กำไรผันผวนมาก แม้กำไรทางบัญชีจะฟื้นตัวก็ตาม แต่ในปี 57-58
กรณีที่ไทยถูกตัด GSP จากทาง ยุโรป
ยิ่งซ้ำเติมให้ราคาหุ้นปรับตัวลงง่าย แม้กำไรจะสูงกว่าปีก่อน (กำไรปี 2557 สูงกว่าปี 2556) ราคากลับมีราคาลดลงมากกว่าเป็นเพราะกำไรปกติจากการดำเนินงานไม่แข็งแกร่งพอ
ราคาหุ้นจะอ่อนไหวกับปัจจัยภายนอกได้มากและได้ง่าย
2.
ควรมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานเป็นบวกและมีความต่อเนื่องสม่ำเสมอ
(CFO
+)
สังเกตได้ว่าบริษัทแม้มีกำไรเพิ่มมากขึ้น
แต่กำไรต่อหุ้นกลับลดลงอย่างมาก ดังที่ได้กล่าวในหัวข้อก่อนหน้าแล้ว ว่าเกิด Dilution ขึ้น
เท่านั้นยังไม่พอ CFO
ลดลงต่อเนื่องจนติดลบมากมายในทิศทางตรงข้ามกับกำไนสุทธิชัดเจน
ดังนั้นการดูการขยายตัวยอดขายหรือการเพิ่มของเพียงกำไรสุทธิไม่พอ
นักลงทุนตลอดจนเจ้าหน้าที่การตลาดหรือแม้แต่นักวิเคราะห์หุ้นจำนวนมาก
มักใช้ข้อมูลสั้นๆ
ที่ประกาศผลการดำเนินงานในช่วงสัปดาห์ที่เริ่มประกาศข้อมูลสรุปผ่านตลาดในแต่ละไตรมาส
และก็ตัดสินใจเพียงตัวเลขกำไรบรรทัดเดียว ซึ่งเสี่ยงมากที่จะมีโอกาส “ติดดอย” สูง
งบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ
(ลบ.)
|
2557
(01/01/57 -31/12/57) |
2556
(01/01/56 -31/12/56) |
2555
(01/01/55 -31/12/55) |
![]() |
|||
![]() |
|||
ยอดขายสุทธิ
|
1,863.11
|
1,643.59
|
1,729.26
|
กำไรก่อน ด/บ
และภาษีเงินได้
|
175.97
|
109.40
|
67.47
|
กำไร(ขาดทุน)สุทธิ
|
122.14
|
68.30
|
32.31
|
กำไรต่อหุ้น (บาท)
|
0.04
|
0.14
|
0.14
|
งบกระแสเงินสด (ลบ.)
|
2557
(01/01/57 -31/12/57) |
2556
(01/01/56 -31/12/56) |
2555
(01/01/55 -31/12/55) |
![]() |
|||
![]() |
|||
เงินสดสุทธิจากกิจกรรมดำเนินงาน
|
-1,086.69
|
5.92
|
41.61
|
เงินสดสุทธิจากกิจกรรมลงทุน
|
-75.55
|
-9.73
|
-200.99
|
เงินสดสุทธิจากกิจกรรมจัดหาเงิน
|
1,200.43
|
-15.55
|
172.74
|
เงินสดสุทธิ
|
38.19
|
-19.36
|
13.37
|
เปรียบเทียบกับบริษัทที่มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่มากแสะสูงต่อเนื่องมาตลอดและกระแสเงินสดที่บวก
ยังมากกว่ากำไรสุทธิที่ได้ แสดงถึงคุณภาพกำไรที่ดีของธุรกิจ
งบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ
(ลบ.)
|
2557
(01/01/57 -31/12/57) |
2556
(01/01/56 -31/12/56) |
2555
(01/01/55 -31/12/55) |
![]() |
|||
![]() |
|||
ยอดขายสุทธิ
|
36,988.96
|
34,668.72
|
31,310.16
|
กำไร(ขาดทุน)สุทธิ
|
4,401.79
|
4,101.38
|
3,408.55
|
กำไรต่อหุ้น (บาท)
|
1.10
|
1.04
|
0.94
|
งบกระแสเงินสด (ลบ.)
|
2557
(01/01/57 -31/12/57) |
2556
(01/01/56 -31/12/56) |
2555
(01/01/55 -31/12/55) |
![]() |
|||
![]() |
|||
เงินสดสุทธิจากกิจกรรมดำเนินงาน
|
4,785.00
|
5,180.95
|
4,045.83
|
เงินสดสุทธิจากกิจกรรมลงทุน
|
-12,771.31
|
-6,973.60
|
-6,329.05
|
เงินสดสุทธิจากกิจกรรมจัดหาเงิน
|
10,026.52
|
1,444.91
|
4,834.11
|
เงินสดสุทธิ
|
2,040.21
|
-347.74
|
2,550.89
|
3.
มีอัตราส่วนหนี้ต่อทุนไม่มาก D/E ค่านี้วัดระดับความแข็งแกร่งในระยะยาวบริษัทใดมีหนี้มากจะค่อนข้างเสี่ยงมาก
ระดับหนี้ต่อทุนนี่ บอกได้ยาก บางคนสรุปว่า 1 เท่า ก็ไม่เสมอ
แต่ผมมักเอาค่ากลางนี้เป็นตัวประเมินแล้วปรับบ้างโดยอิงบริษัทใหญ่ๆ ชั้นดี
- บริษัทผลิตมักมีค่า
D/E
มากกว่า 1 เพราะมีที่ดินและโรงงานที่มีมูลค่าเพิ่มใช้เป็นหลักประกันการกู้ยืม
(Collateral) บวกกับการมีผลการดำเนินงานต่อเนื่อง
สามรถมีระดับหนี้ต่อทุนได้มาก อาจถึง 1.7-1.8 เท่า
- บริษัทที่มีอสังหาริมทรัพย์มาก
(ที่ดิน อาคารโรงงาน) มาก จะสามารถมี D/E ได้มาก
- บริษัทที่เป็นบริการ
ไม่ควรมี
D/E สูงเกิน 1 แต่ถาธุรกิจมีอสังหาริมทรัพย์ของตัวมาก
ก็ได้มาก ถ้าเป็นที่ที่เช่ามาแม้จะเช่าระยะยาว หรือเป็นที่ดินที่เกิดจากสัญญาสัมปทานก็ไม่ควรมีมากเกิน
1
- อสังหาริมทรัพย์
รับเหมาก่อสร้าง มักก่อหนี้ลักษณะ Project Finance การก่อหนี้แบบนี้คือกระแสเงินสดของโครงการจะใช้ชำระหนี้ได้เพียงพอ
และโครงการเองก็จะมีระยะเวลาดำเนินงานแน่นอน เช่นโครงการคอนโดมิเนียม
ธนาคารจะพิจารณาปล่อยกู้จากมูลค่าโครงการอาจจะราว 30 % ของมูลค่าโครงการ
ถ้าช่วงนั้นบริษัททำ 3 โครงการๆ ละ 1,000 ล้านบาท รวม 3,000 ล้านบาท ถ้าโครงการอยู่ทำเลดี ก็มีสถาบันการเงินสนับสนุน
อาจก็ได้ถึง 900 ล้านบาท ถ้าแต่ละโครงการมีกำไรราว 35%
แสดงว่าใช้เงินทุนราว 650 ล้านบาท ต่อโครงการ
บริษัทอาจเริ่มต้นเงินทุนราว 400 ล้านบาท โดยให้บริษัททำโครงการได้โครงการละไม่เกิน
2.5 เท่าของเงินทุน สถาบันการเงินจะมองแยกเป็นโครงการแต่ละโครงการ
เมื่อขายหมดปิดโครงการสาบันการเงินก็ได้เงินกู้ของตนไปแต่ละโครงการ นี่คือลักษณะ Project
Finance
4.
ไม่มีขาดทุนสะสม และมีกำไรสะสม
หุ้นที่จะลงทุนควรมีขาดทุนสะสมอยู่เพราะวิธีแก้ขาดทุนสะสมที่บริษัทอาจใช้คือดารลดทุน
เมื่อเข้าถือหุ้นแม้จะออกเสี่ยงในที่ประชุมได้ (การลดทุนต้องขอมติผู้ถือหุ้น) แม้เราจะไม่เห็นด้วน
แต่ตัดสินด้วยมติเสียงข้างมาก รายย่อยย่อมมีเสียงแพ้ผู้ถือหุ้นใหญ่อยู่ดี
จึงไม่ควรเสี่ยงลงทุน และการมีกำไรสะสมมากๆ ก็ถือเป็นเรื่องดี เพราะกำไรสะสมก็คือกำไของเจ้าของที่แปลงไปเป็นสินทรัพย์แล้ว
แม้ต้นทุนของส่วนเจ้าของสูงแต่ความมั่นคงก็สูงมากเช่นกันยิ่ง
ผลตอบแทนสินทรัพย์มาก (ROA มาก) เท่าไรผู้ถือหุ้นก็ได้เช่นกัน
5.
มีสภาพคล่องดีพอควร
กิจการที่เราลงทุนได้ต้องมีสภาพคล่องที่ดี บางท่านอาจใช้อัตราทุนหมุนเวียน CR
(Current Ratio) = สินทรัพย์หมุนเวียน / หนี้สินหมุนเวียน
แต่อัตราส่วนนี้ต้องระวังเพราะในบางอุตสาหกรรมใช้ไม่ได้
เช่นกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และรับเหมาก่อสร้าง
สองกลุ่มนี้จะมีสินทรัพย์หมุนเวียนสูงมาก คือรายการต้นทุนโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายสำหรับบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และรายได้ที่ยังไม่ได้เรียกชำระซึ่งจะมีมูลค่าสูงมากๆ
ทำให้ค่า CR >
1 ซึ่งอาจไม่จริง เพราะนิยามของอัตราส่วน CR
คือบริษัทสามารกชำระหนี้สินหมุนเวียนด้วยสินทรัพย์หมุนเวียนได้
ทั้งสองรายการอันได้แก่ต้นทุนโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายยังไม่สามารถเปลี่ยนเงินสดได้เร็ว
เพราะคือบ้านที่ยังสร้างไม่เสร็จ คอนโดที่ยังสร้างไม่เสร็จ ส่วนรายได้ที่ยังไม่ได้เรียกชำระก็คือรายได้ที่ตั้งขึ้นด้วยวิธีประเมินตามหลักสัดส่วนงานที่เสร็จ
(Percentage of
Completion) ซึ่งยังเก็บเป็นเงินไม่ได้ต้องให้ลูกค้าที่ว่าจ้างยอมรับงานก่อนจึงเรียกเก็บเงินได้ตามสัญญา
อัตราส่วนที่ใช้มองว่ากิจการเกิดปัญหาสภาพคล่องที่น่ากังวลหรือไม่นั้นต้องมองอัตราส่วนและใช้ข้อมูลหลายตัว
นอกจาก อัตราส่วน Current ratio และ Acid-test ratio หรือ Quick ratio = Liquid Asset / Current
Liability) แล้วต้องดูอัตราส่วนอื่นด้วยซึ่งหากรวมทั้งหมดมีอยู่
4 ค่าที่ใช้ ส่วนตัวนิยมดู ข้อ 3. กับข้อ
4.
1. Current
ratio (CR) < 1 อันนี้ basic แต่ถ้ามากกว่า
1 ก็ไม่ใช่ว่าดีต้องดูอัตราส่วนอื่นด้วยคือ เพราะอาจมีสภาพคล่องเทียมได้ เช่นมีสินค้าคงเหลือสูงมากๆ
2. Quick
ratio (QR) > 0.6 แต่ที่เรียนกันมาผิดๆ คือ
ใช้สูตรอัตราส่วนนี้ว่าเท่ากับ Current assets – Inventories (สินค้าคงเหลือ) ต้องบอกก่อนว่า ตำรา text ไม่ผิดหรอกครับเพราะงบการเงินตัวอย่างใน
text จะเป็นงบตัวอย่างว่า สินทรัพย์ หมุนเวียนมีเพียง cash
+ A/R + Inventory แต่ในชีวิตจริงมีรายการใน สินทรัพย์ หมุนเวียนมากกว่านี้
ดั้งเดิมจริงๆ QR = Liquid Assets/CL ซึ่ง Liquid
Assets = Cash + S-T investment + เงินให้กู้ยืมแก่บริษัทฯ + A/R
+ รายได้ค้างรับ หรือสรุปว่าคือรายการที่พร้อมเปลี่ยนเป็นเงินได้เร็ว
หลังรายการนี้ไป ก็จะเป็นสินค้าคงเหลือ และ ส/ท หมุนเวียนอื่น ซึ่งในทางบัญชี
การจัดเรียงรายการในงบจะเรียงตามความสามารถสินทรัพย์
ที่จะเปลี่ยนเป็นเงินสดได้คล่องที่สุดไปหา สินทรัพย์ที่เปลี่ยนเป็นเงินสดได้ช้าที่สุด
ดังนั้นรายการที่อยู่ต่อจากสินค้าคงเหลือย่อมแสดงว่ารอบหมุนเป็นเงินสดจะนานกว่าสินค้าคงเหลือแน่นอน
ดังนั้นการเอาแค่ เอาสินค้าคงเหลือลบ จึงไม่ถูกต้อง และนำไปสู่การตีความผิดๆ
ทำให้หลายคนประเมินสภาพคล่องกิจการผิด ที่ให้ QR > 0.6
เพราะตัวหารคือ หนี้สินหมุนเวียน (CL) มากกว่า
60% จะเป็นหนี้สินที่เป็นเจ้าหนี้การค้าและเงินกู้ระยะสั้น การมี Liquid Assets ครอบคลุมส่วนนี้ได้ก็รอดพ้นการเกิด
Temporary Bankruptcy (Technical Bankruptcy) หรืการล้มลงจากการขาดสภาพคล่องได้สูง
(บางกิจการมีสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนมาก แต่ระยะสั้นอาจขาดเงินหมุนเวียน
ก็ล้มได้เหมือนกัน)
3. Modified
current ratio (MICR) = CFO/CL ค่าที่ดีควร > 0 ซึ่งก็บังคับกลายๆว่าค่า CFO ต้อง > 0 ค่าของกระแสเงินสดจากการดำเนินงานควรมากกว่า 0 (เป็นบวก) นั่นเอง
4. Cash
Cycle (CC) ในระดับถือว่าดีมาก (Excellence) คือ
< 0 วัน ดีคือ 0-45 วัน พอใช้หรือปกติ 45-75 วัน มากกว่า
75-90 วัน ต้องเฝ้าระวัง มีปัญหา ส่วนมากกว่า 90 วัน ถือว่า แย่
ระยะเวลาวงจรเงินสด
บ่งชี้หรือบอกสภาพคล่องธุรกิจ
— CC
<0 ------ > excellence สภาพคล่องสูงมาก หนี้น้อยถึงไม่มี
— CC
0-45 ------ > good สภาพคล่องสูง
— CC
45-75 ------
> normal ปกติ มีการก่อหนี้ระยะสั้น ควร <
30%
— CC
75-90 ------
> awareness การก่อหนี้ระยะสั้นสูงขึ้นอาจ >50%
— CC
90-150 ------
> liquidity problems มีภาระหนี้สูง
— CC
150-180 ------ > crisis area ทางรอดระยะยาวมักเพิ่มทุนล้างหนี้
— CC
>180 ------
> bad ต้องพึ่งเงินกู้ระยะสั้นมาก อันตราย ล้มง่าย
ทั้ง 4 ข้อหากกิจการใดมี 3
ข้อขึ้นไปถือว่าเกิดปัญหาสภาพคล่องแน่นอนและมีแนวโน้มก่อให้เกิดปัญหาในการดำเนินงานไม่เกิน
1 ปีแน่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น