งบการเงินเปรียบเหมือน transcript ของธุรกิจเป็นแผนที่ เป็น resume
ของกิจการ สามารถบอกและให้คนใช้งบการเงินเข้าใจถึงสิ่งต่างๆ ที่เกิดและจะเกิดได้
แบ่งรายงานออกเป็น 3 ด้านหลักๆ ที่สำคัญที่ต้องดูคือ
1.
งบแสดงฐานะการเงิน
Financial Position – Wealth รายงานนี้บอกให้รู้ว่า
ณ เวลานั้นๆ มี สินทรัพย์อยู่เท่าใด หนี้สินมีอะไรเท่าใด
เป็นของเจ้าของเหลือเท่าใด
งบแสดงฐานะการเงินก็เปรียบเหมือนภาพถ่ายธุรกิจเวลาใดเวลาหนึ่ง เช่น ณ 31 ธันวาคม 2557 เมื่อดูงบแสดงฐานะการเงิน จะแสดง ณ
วันที่นั้น ก็หมายความว่าวันนั้นบริษัทมีอะไรอยู่บ้างที่เป็นทรัพยากรบริษัท
โดยในรายงานจะแบ่งเป็นสินทรัพย์สองกลุ่มคือ หมุนเวียนและไม่หมุนเวียน
โดยมีเกณฑ์แบ่งคือ
หนุนเวียนคือทรัพยากรหรือสินทรัพย์ที่เห็นในงบแสดงฐานะการเงินสามารถเปลี่ยนเป็นเงินสด
หรือใช้ประโยชน์หมดใน 1 ปี
การจัดเรียงลำดับก็เรียงรายการที่เปลี่ยนเป็นเงินสดได้เร็วที่สุดจนถึงช้าที่สุดโดยคร่าวๆ
และไม่หมุนเวียนก็คือทรัพยากรที่ใช้ในการสร้างรายได้
หรือมีไว้เพื่อที่จะเปลี่ยนเป็นเงินสดในอนาคต
งบแสดงฐานะการเงินนั้นเป็นภาพถ่าย
เปรียบได้กับการกดชัตเตอร์ตอนสิ้นปีบัญชี
เพื่อดูว่าตอนนี้บริษัทมีสินทรัพย์และหนี้สินอยู่เท่าไรแล้ว (และส่วนต่างจากสินทรัพย์กับหนี้สินก็คือส่วนของผู้ถือหุ้นนั่นเอง)
เพราะฉะนั้นเวลาอ่านงบ ก็ดูทีละส่วนด้านสินทรัพย์มีอะไร
เหมือนมองภาพถ่ายรูปคนๆหนึ่งว่าที่เห็น ณ เวลานี้มีอะไรบ้าง ปีก่อนมีอะไร
มูลค่าเท่าไร ปีต่อมาของอย่างเดียวกันมูลค่าเป็นเท่าไร
เมื่อวิเคราะห์ควรใช้การมองจากภาพรวม ดูว่ายอดรวมก่อนว่าเปลี่ยนแปลงอย่างไร
แล้วจึงค่อยมองว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นมาจากอะไรเป็นตัวหลัก
(เราจะมาอธิบายกันภายหลัง)
2. งบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ Comprehensive
Income Statement (I/S – Successful Effort) รายงานนี้บอกให้รู้ว่างวดนี้ทำมาหาได้เท่าไร
มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นเท่าใด
ซึ่งงบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จนี้แยกเป็นสองส่วนหรือสองท่อนคือ
- ส่วนบนหรือท่อนบน คืองบกำไรขาดทุนสำหรับงวด
ส่วนนี้จะแสดงถึงการทำมาหาได้ของงวด ขายอะไร มีรายได้มาจากอะไร ต้นทุนของที่ขาย จ่ายอะไรไปบ้าง เหลือเป็นกำไรเท่าไร มองง่ายๆ
เหมือนเราเปิดร้านขายอาหาร วันนี้ขายได้เท่าไร หักเป็นค่าของที่ทำอาหารเท่าไร
(ต้นทุนขาย) ค่าลูกจ้างในร้าน ค่าเช่าร้าน (ขายและบริหาร) ถ้าไปกู้เงินมาทำร้าน
ก็จ่ายดอกเบี้ย (ต้นทุนการเงิน) หักแล้วเหลือเท่าไรก็คือกำไรเป็นต้น
นี่คือส่วนที่หนึ่งเอาแค่ที่ทำมาหากินจริงเท่านั้น ถ้าขายโต๊ะไปในระหว่างงวด
ก็ลงกำไรขาดทุนจากการขาย
- ส่วนล่างหรือท่อนล่าง OCI (Other
Comprehensive Income) ส่วนนี้ไว้แสดงการเพิ่มขึ้นในส่วนเจ้าของที่ไม่ถือเป็นกำไรของงวด
ส่วนมากก็คือการเพิ่มขึ้นของมูลค่าสินทรัพย์ในงวดนั้นๆ ไม่ได้เกิดจากการทำมาหากินแต่อย่างใด
แต่เจ้าของมั่งคั่งขึ้นเนื่องจากสินทรัพย์หรือทรัพยากรบริษัทมีราคาสูงขึ้น
เช่นสมมติเหมือนเดิมว่าเราเปิดร้านขายอาหาร ปรากฏว่า ร้านของเรามีรถไฟฟ้าผ่าน
ทำให้ร้านเรามีราคามากขึ้น ส่วนมูลค่าที่เพิ่มนี้เราอยากแสดงให้รู้ว่า
เรามั่งคั่งขึ้น บัญชีบอกอยากแสดงก็ให้แสดงได้ แต่ไม่ให้ถือเป็นการดำเนินงาน
(กำไรจากการทำมาหากิน) กำไรจากส่วนนี้ไม่นับรวมใน EPS (กำไรต่อหุ้น)
งบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จหรือเรียกย่อๆว่างบกำไรขาดทุนเปรียบเหมือนการถ่ายภาพยนตร์เคลื่อนไหว
งบกำไรขาดทุนจะแสดงเป็นรายการของงวด หรือช่วงเวลา เช่นระบุว่าสำหรับงวดปีสิ้นสุดเพียง
31 ธันวาคม 2557
ก็หมายถึงรายได้ ค่าใช้จ่ายต่างๆ คือ การเกิดขึ้นในช่วง 1 ปี
ถึง 31 ธันวาคม 2557 ก็คือ 1 มกราคม ถึง 31 ธันวาคม 2557
นั่นเอง ที่เปรียบเป็นภาพเคลื่อนไหวเพราะข้อมูลที่เห็นเป็นข้อมูลที่เป็นช่วงเวลา
ไม่ใช่ ณ วันเดียวเหมือนงบแสดงฐานะการเงิน งบกำไรขาดทุนบอกให้รู้ว่าทั้งปีทำอะไร
ส่วนงบแสดงฐานะบอกให้รู้ว่าวันนั้นมีอะไร
งบแสดงฐานะการเงินและงบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ
เปรียบเหมือนตัวเอกของเรื่อง
การวิเคราะห์เบื้องต้นมักต้องใช้ทั้งสองงบนี้ควบคู่กัน จะดูงบการเงินใดเพียงงบการเงินเดียวจะไม่สมบูรณ์
การดูเพียงกำไรไม่เพียงพอ
เพราะเท่ากับแค่การเก็งกำไรราคาหุ้นจากกำไรเท่านั้นแต่ไม่ใช่การลงทุนระยะยาว
เพราะที่มาที่ไปของรายได้ มาจากโครงสร้างสินทรัพย์ที่มี
การสร้างรายได้ที่ยั่งยืนย่อมมาจากธุรกิจมีทรัพยากรที่ดีในการสร้างรายได้ในอนาคต
3.
งบกระแสเงินสด (Statement of Cash flows) – Survival งบกระแสเงินสดบอกให้รู้ว่างวดนี้
(ตั้งแต่ต้นปี) มีเงินเข้ามาจากอะไร ขายของทำมาหากินได้มาเท่าไรในรูปเงินสด
หรือได้เงินมาจากการขายสินทรัพย์ (สมบัติ) หรือมีเงินใช้เพราะกู้มาส่วนใหญ่ เงินที่ได้มาเอาไปทำอะไร
ขายของเข้าเนื้อ? เอาไปซื้อสินทรัพย์ หรือเอาไปจ่ายหนี้
จ่ายปันผล เท่าไร เป็นต้น
ดังนั้นงบกระแสเงินสดจึงแบ่งการได้เงิน-ใช้เงินเป็น
3 เรื่อง คือ
1. ทำมาหากิน (กิจกรรมดำเนินงาน- Operating Activities) การทำมาหากินเอามาจากการขายของหรือบริการ ได้ในรูปเงินสด
แล้วมาใช้จ่ายในกิจการ เหลือเท่าไร
แสดงเฉพาะที่เป็นเงินรับสุทธิจากการดำเนินงานหรือทำมาหากินจริงๆ ขายที่ดิน ขายตึก
ขายรถไม่นับว่าเกิดจากการทำมาหากิน มองง่ายๆ
เปิดร้านขายก๋วยเตี๋ยวก็นับเงินรับจาการขายก๋วยเตี๋ยวขายเก้าอี้ ขายจานชาม
ตะเกียบไม่นับในกิจกรรมนี้เป็นการดำเนินงาน กำไรขาดทุนจากการขาย เก้าอี้ จาน
ชามและตะเกียบ ลงเป็นกำไรขาดทุนของงวด แต่เงินสดรับงวดนี้
แต่ไม่นับเป็นกิจกรรมดำเนินงาน
มีกำไรในงวดจากการขายเก้าอี้ถูกต้องแต่ไม่ใช่การดำเนินงาน
2. การลงทุน (กิจกรรมการลงทุน- Investing Activities) รวมถึงดอกผลจากการลงทุน
ดอกเบี้ยรับ เงินปันผลรับ เงินที่จ่ายไปเพื่อลงทุนในเงินลงทุนต่างๆ ทั้งสั้นและยาว
ที่ลงทุนในที่ดินอาคารและอุปกรณ์ หรือจะเอาสินทรัพย์ที่ลงทุนไว้ไปขาย
จะเป็นเงินลงทุนระยะสั้นหรือยาว สินทรัพย์ในที่ดินอาคารและอุปกรณ์ไปขาย
การรับหรือจ่ายจะแยกกันและไม่แยกกำไร แต่รวมในเงินสดรับทั้งหมด จะขายกำไรหรือขาดทุนไม่แยกออกมา
ส่วนกำไรหรือขาดทุนไปแสดงในงบกำไรขาดทุน
หากมองการขายสินทรัพย์ออกว่าจะตีความว่าเพราะบริษัทเงินตึงตัว จึงต้องขายสมบัติ
(เปิดท้ายขายของ) เพื่อเอาเงินมาใช้จ่าย
3. จากการกู้ยืม และที่เกี่ยวกับผู้ถือหุ้น (กิจกรรมการจัดหาเงิน- Financing
Activities) เช่นจ่ายปันผลที่เป็นเงินสด กู้เงิน จ่ายคืนเงินกู้
ส่วนนี้บอกให้รู้ว่าได้เงินมาจากการกู้เท่าไร และคืนเท่าไรระหว่างงวด
การกู้ยืมกับการคืนเงินกู้จะแยกกันไม่เอามาหักกลบกัน ทำให้เราเห็นกระแสการไหลเวียนของเงินชัดเจน
บางครั้งหนี้ไม่เพิ่มขึ้น แต่งบกระแสเงินสดบอกให้รู้ว่ามีการ refinance เพราะการคืนและยืมในงวดพอๆกัน
ยกเว้นเงินกู้ระยะสั้นที่ให้แสดงยอดสุทธิที่หักกลบลบกันได้
รายการเงินกู้ยืมระยะสั้นจากสถาบันการเงินมักจะหมายถึงเงินกู้ O/D นั่นเอง สรุปสั้นๆ ง่ายๆ คือหาเงินมาหมุนด้วยการกู้ยืมมาใช้จ่าย
หากไม่เช่นนั้นก็ต้องแบมือขอผู้ถือหุ้น (เพิ่มทุน)
ส่วนการจ่ายคืนเงินปันผลก็แสดงว่าทำมาหากินแล้วมีเหลือคืนผู้ถือหุ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น