วิธีการตกแต่งรายได้หลอกนักลงทุน
แล้วโอนถ่ายไซฟ่อนเงินออกจากบริษัทแบบเนียนๆ เอาสองวิธีก่อนความจริงมีมากครับ
ทั้งสองแบบมักทำไม่ยากโดยเฉพาะกิจการที่ผู้บริหาร (มีแน้วโน้ม) ฉ้อฉล
วิธีแรกแรก แต่งกำไรสร้างรายได้ให้ดูโตหรือก้าวกระโดด
พอกำไรเพิ่มหุ้นก็ราคาเพิ่ม เจ้าของก็ขายหุ้นออก ทั้งที่บริษัทมีกำไร
-การตกแต่งรายได้
ด้วยการเร่งรับรู้รายได้งวดอนาคตมาเป็นของงวดปัจจุบัน
พวกนี้มักเจอบ่อยในธุรกิจที่รายได้เกิดจากการประมาณ
เช่นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ซึ่งได้กล่าวไปถึงหลายครั้งพอควร
อีกกลุ่มที่ต้องระวังคือกลุ่มที่มีรายได้รับมาล่วงหน้า เช่นธุรกิจอินเตอร์เน็ต
ธุรกิจขายบัตรรายได้ล่วงหน้า เช่นบัตรโทรศัพท์ ค่าสมาชิกรายปี เช่น CAWOW
(แคลิฟอร์เนียว๊าว เจ๊งไปเรียบร้อยแล้ว) ต้องพิจารณาจากลักษณะธุรกิจว่ามีเหตุให้เกิดหรือไม่
รายได้กระโดดผิดปกติหรือไม่ หุ้นพวกนี้ดูกระแสเงินสดจะไม่พบ เพราะรับมาจริง
แต่แทนที่จะทยอยรับรู้มักลงทันทีทำให้รายได้สูง หนี้สินรายได้รอรับรู้ต่ำ
ควรตรวจรอบการหมุนเวียนรายได้รอรับรู้ (รายได้/รายได้รอรับรู้เฉลี่ย)
ถ้าสั้นมากก็พิจารณาว่าเป็นปกติหรือไม่ เช่น ออกมาได้ 6รอบต่อปี
หรือหมุนเวียนตัดบัญชีเป็นรายได้ ทุกสองเดือน
แต่ถ้าเราทราบว่าปกติรับสมาชิกเป็นรายปี อย่างนี้มีเหตุให้สงสัยแล้ว เป็นต้น
บริษัทผลิตของขายก็ทำได้
เช่นกำลังเอาหุ้นเข้าตลาดหรือทำห้กำไรไตรมาสล่าสุดยอดขายกระโดด
เช่นยอดขายช่วงเปลี่ยนไตรมาส
แทนที่ไตรมาสนั้นจะมียอดขายเพมิ่ก็แต่เลื่อนส่งของข้ามเวลาจาก ก่อน 31 มีนาคม x1 ไปส่งวันที่ 2-3 เมย.
X1 แค่นี้รายได้ก็อยู่คนละไตรมาสแล้ว
แต่วิธีนี้มักจะเกิดได้กับธุรกิจขายส่งเป็นล๊อตๆ ขายเป็นครั้งๆ ครั้งละมากๆ
ถ้าน้อยๆก็อาจไม่คุ้มค่า ไตรมาสแรกยอดขายตก แล้วมาเพิ่มมากไตรมาสสอง
เจ้าของก็ช้อนซื้อไตรมาสแรก
เก็บจนพอก็มาบอกนักลงทุนว่าไตรมาสหน้ายอดขายจะเพิ่มจากจากไตรมาสแรกแน่นอน
พอใกล้จบไตรมาสสองก็ปล่อยอินไซด์รายได้แล้วจะเพิ่มตามเป้าหมายที่นี้ปลายไตรมาสสองหุ้นขึ้นก็ขายทำกำไร
จับยังไงละขายของเป็นจริงทั้งหมด
-การตกแต่งรายได้ด้วยการบันทึกรายได้เทียม/เท็จ
พวกนี้ก็จะมีลูกหนี้ปลอมด้วย ดังที่กล่าวมาดูยาวๆรายไตรมาสประกอบ
และดูงบกระแสเงินสดประกอบก็จะชัดเพราะพวกนี้กำไรพุ่งสูง
แต่กระแสเงินสดรับจากการดำเนินงานต่ำ (ลูกหนี้เทียมย่อมไม่เกิดกระแสเงินสดรับเข้า)
อันนี้ทำกันในอดีตมาก เริ่มมีการจับทางได้มากขึ้นแล้ว บริษัทที่ระบบไม่ดีทำง่าย
เพราะขาดการตรวจสอบ บริฐัทใหญ่ก็ทำได้นะ อย่างเทสโก้ในต่างประเทศที่หลอกบัฟเฟตต์
วิธีที่สองเอาเงินออกจากบริษัท
- ใช้วิธีผ่านการซื้อหุ้นคืน
คือการเอาเงินบริษัทลงทุนในตัวเอง ซึ่งจะได้ผลตอบแทน ROE มักอ้างว่าราคาหุ้นต่ำกว่าราคาพื้นฐาน ดังนั้นถ้าบริษทใดมี ROE ต่ำก็ถือว่าไม่คุ้มค่า ไม่ใช่เห็นหุ้นตัวเองลดลงก็เอาเงินมาซื้อคืน
ทั้งที่บริษัทหุ้นลงเพราะแนวโน้มความสามารถในการทำกำไรเริ่มลดลง เช่นธุรกิจเหมืองถ่านหินแนวโน้มสดใสอยู่หรือไม่
ราคาปิโตรเคมีอยู่ในวงจรขาขึ้นหรือไม่ ตลาดส่งออกไก่แช่แข็งยังดีอยู่หรือไม่
การอ้างใช้เหตุผลอ้างว่าหุ้นตัวเองนั้นมีมูลค่าที่ต่ำ ดูจะไม่มีน้ำหนักในทางหลักการลงทุนหรือหลักทางการเงิน
ซ้ำบางบริษัทมีปัญหาเรื่องของธรรมาภิบาล อาจรู้ล่วงหน้าว่าจะเรื่มซื้อคืนเมื่อไร
ให้บริษัทซื้อให้หุ้นขึ้นเพื่อตัวเองขายแล้วรอลงเพื่อซื้อกลับ
เป็นรูปแบบการผ่องถ่ายหรือการไซฟ่อนเงิน (Siphon) ได้ทางหนึ่ง
และอีกมุมคือ เป็นการบอกนัยๆ ว่า ไม่มีโครงการดีๆ ทำเพื่อเพิ่มมูลค่าบริษัทอีกแล้ว
เงินเหลือเลยเอามาซื้อหุ้นตัวเองคืน นั่นคือ g (อัตราการเติบโต) เท่ากับหรือน้อยกว่า 0 แล้ว
- อีกวิธี อันนี้เก่า โบราณหน่อย
ก็คือให้กรรมการกู้ยืม (กรรมการเป็นลูกหนี้) จากนั้นก็ตัดหนี้สูญ
เดี๋ยวนี้ไม่ทำแล้วเห็นงบปั๊บรู้เลยว่ากำลังโกงบริษัท
แต่บริษัทนอกตลาดหุ้นยังทำกันบ้าง
- อันนี้ทำตรงข้ามคือบริษัทไปกู้กรรมการ
(กู้หลอกๆ) กรรมการเป็นเจ้าหนี้เงินให้กู้ยืม แล้วจ่ายดอกเบี้ยให้กรรมการ
บางคนถามว่าดูไม่คุ้ม อย่าลืมครับกู้หลอกๆ บางคร้งผ่านวิธีทางบัญชีก็ได้
ทำอย่างไรถึงเครดิตเจ้าหนี้ขึ้นได้ ก็ต้องหาอะไรมาเดบิต ซึ่งด้านเดบิด
มีสองทางหลักๆคือ ไม่ลงสินทรัพย์ก็ค่าใช้จ่าย ถ้าสร้างค่าใช้จ่ายกำไรก็ลด
ก็สร้างสินทรัพย์ซะ สินทรัพย์ที่ตรวจสอบยากตัวหนึ่งคือค่านิยม การทำโดยซื้อบริษัทตนเองสูงๆ
ครั้งแรกก็ได้หรือจ่ายบ้างส่วน บางส่วนให้กรรมการจ่ายแทน ความจริงคนรับเงินค่าขายก็คนๆเดียวกัน
แค่ทำจ่ายช้าให้บริษัทเสียดอกเบี้ยอีกหน่อยสักระยะ
- ผ่านการทำรายการระหว่างกัน
บริษัทนั้นจะมาควรเป็นบริษัทย่อย ให้คงไว้ในฐานะบริษัทที่เกี่ยวข้องดีที่สุด
เพราะรายการแค่เปิดเผยในหมายเหตุ
แต่ไม่ตัดรายการระหว่างกันเพราะไม่ต้องทำงบการเงินรวม สมมติ บริษัท ก
คือบริษัทในตลาด บริษัท ข
ซื้อสินค้าจากบริษัท ก ก็มียอดขาย มีกำไร แต่อาจน้อยลงนิดหน่อย บริษัท ข
อยู่นอกตลาดและบริษัท ก ไม่ได้ถือหุ้นเกิน 20% จึงไม่ใช่ร่วมหรือย่อย
บริษัท ข เอาสินค้าขายกรรมการที่ตั้งนอมินีอีกต่อ แล้วสินค้าให้ลูกค้าแทนบริษัท ก ซึ่งบริษัม
ก ก็ลงขาย ลงกำไร ส่วนบริษัท ข อยู่นอกตลาด ขายนอมินีแล้วปล่อยเครดิตยาวๆ เลย
กำไรก็เข้านอมินีไป จ่ายปันผล 100% ส่วนบริษัท ข
จะอยู่จะไปไม่เกี่ยวกับใครเลย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น