ดัชนีชี้วัดความเสี่ยงทางการคลัง
จากบทความก่อนหน้า
ที่ผมใช้ค่า Ruang Alarm = ดุลบัญชีเดินสะพัดต่อ GDP มาบวกเข้าด้วยกัน 3 ปีล่าสุด เพื่อดูว่าเราเข้าใกล้วิกฤติทางเศรษฐกิจหรือไม่
คราวนี้มาวัดความเสี่ยงทางการคลังกัน
1. เคยสงสัยกันบ้างไหมครับว่าทำไม
กรีซ ซึ่งมีหนี้สาธารณะต่อ จีดีพี ที่ 160% หรือ อิตาลีที่ 120%
กลับพบกับวิกฤติการคลังแบบเป็นเรื่องเป็นราว หนักหนาสาหัสกว่า ญี่ปุ่น ซึ่งมีตัวเลขนี้อยู่ที่
220%
2. ผมได้อ่านบทความของคุณ คุณประวิทย์
เรืองศิริกูลชัย “การคลังไท้เก๊ก” (Taiji Fiscal) ซึ่งได้นำเสนอดัชนีที่ชื่อ
Ruangsirikulchai Index เพื่อชี้ความเสี่ยงการคลังของประเทศต่างๆ
โดยนำเอา ค่าหนี้สาธารณะ ต่อ GDP คูณด้วย
ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 10 ปี
3. โดยมีแนวคิดว่า
ประเทศเหล่านี้หากรีไฟแนนซ์เป็นหนี้ระยะยาว 10 ปีทั้งหมด ณ ปัจจุบันแล้ว
จะต้องเสียเฉพาะค่าดอกเบี้ยจ่าย คิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของ GDP โดยส่วนใหญ่แล้วเงินตรงนี้จะจ่ายไปยัง
กองทุนบำนาญทั้งใน และ ต่างประเทศ ซึ่งเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ของรัฐบาล และ
เงินนี้ก็จะจมไปกับกองทุนไม่ออกมาหมุนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
จึงเป็นการสูญเสียทางการคลังแบบเปล่าประโยชน์
ค่าเหล่านี้หาได้ง่ายและมีการเปลี่ยนแปลงได้ทุกวัน ทำให้ update ต่อสถานการณ์การคลัง
4. Ruangsirikulchai
Index = Pulbic Debt/GDP * 10 Yr Gov.Bond Yield
5. ค่านี้หากต่ำกว่า 1.5%
หมายถึง รัฐบาลไม่มีภาระหนักหนานักในการจ่ายดอกเบี้ย
ความเสี่ยงการคลังยังอยู่ในระดับต่ำ ประเทศไทยมีค่านี้อยู่ที่ 1.3% เท่านั้น (43% * 3% = 1.29%)
6. ค่านี้หากอยู่ระหว่าง
1.5-3% หมายถึง มีความเสี่ยงของการคลังอยู่ในระดับปานกลาง
7. หากค่านี้อยู่ระหว่าง
3-5 % หมายถึง ความเสี่ยงทางการคลังอยู่ในระดับสูง ต้องรีบรัดเข็มขัดพร้อม ๆ
กับกระตุ้นเศรษฐกิจโดยด่วน
8. หากค่านี้อยู่ระหว่าง
5-10% หมายถึง ความเสี่ยงทางการคลังอยู่ในระดับสูงมาก ๆ ต้องรีบรัดเข็มขัดพร้อมๆ
กับกระตุ้นเศรษฐกิจโดยด่วนที่สุด รอช้าไม่ได้เลย ที่จริงเมื่อเริ่มสูงกว่า 3 ก็ต้องเริ่มแล้ว ถ้ายังเกิน 5% อีก ต้องใช้นโยบายที่ฉีดยาแรงขึ้น
อาจถึงต้องคีโมกันเลย
9. และหากค่านี้สูงกว่า 10%
หมายถึง ความเสี่ยงทางการคลังอยู่ในระดับสูงมาก ๆ ที่สุด ประเทศเข้าข่าย "ล้มละลายทางการคลัง"
จำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือจากภายนอก โดยเฉพาะ IMF เช่น กรีซ โปรตุเกส ไอร์แลนด์
10. สำหรับกรีซนั้น ดัชนีนี่อยู่ที่ราว
56% ซึ่งสูงแบบเหลือเชื่อ จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าประเทศนี้จึงเข้าขั้น “ล้มละลาย”
แล้ว โดยที่แม้รัฐบาลพยายามจะลดการขาดดุลการคลังลง ตามแผนก็คือการลดได้จาก 12.7% GDP เหลือ 8.7% GDP ซึ่งก็ยังเป็นระดับสูงอยู่ดี และ GDP ยังมีแนวโน้มจะลดลงด้วยจากมาตรการรัดเข็มขัดการคลัง
จึงพบกับการประท้วงหยุดงานไปทั่วประเทศ
11. ดัชนีนี้สำหรับประเทศ
อังกฤษ อเมริกา และญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศพัฒนาแล้วขนาดใหญ่นั้น
ก็อยู่ในระดับต่ำกว่า “3” ซึ่งเป็นระดับที่อันตรายปานกลาง
แม้จะยังไม่เข้าขั้นวิกฤติ ควรเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับวิกฤติการคลังในอนาคตได้
12. ปัจจุบันจะพบว่าตัวแปรทั้ง
3 ตัว คือ ตัวเลขหนี้สาธารณะนั้นมีแนวโน้มสูงขึ้นอาจสูงขึ้นไปอีกจากการขาดดุลการคลัง
สำหรับประเทศพัฒนาแล้ว ตัว GDP นั้นมีแนวโน้มยืนๆ
หรืออาจลงลงได้หากประเมินว่ามีความเสี่ยงจากภาวะเงินฝืดและ การรัดเข็มขัด
รวมถึงตัวแปรผลตอบแทนพันธบัตร 10
ปีนั้นก็อาจสูงขึ้นได้จากความเสี่ยงทางการคลังที่เพิ่มสูงขึ้นและ การไหลออกของเงินทุนไปยังต่างประเทศ
13. สำหรับประเทศไทยยังอยู่ที่
1.3% เท่านั้น หมายถึงความความเสี่ยงทางการคลังของเรายังอยู่ในระดับที่ควบคุมได้
จึงอาจยังสามารถใช้นโยบายขาดดุลการคลังได้อีกหลายปี แต่ไทยก็อาจได้รับผลกระทบจาก วิกฤติในต่างประเทศมากระทบได้
แนวคิดเครดิต : taiji
- econ by ประวิทย์
เรืองศิริกูลชัย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น