ทำไม จึงใช้ Ruang Alarm และ Ruangsirikulchai
Index มาใช้วัดสัญญาณการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจและวัดความเสี่ยงทางการคลัง
ต้องแยกแยะให้เข้าใจตรงกันและถูกต้องนะครับว่าวิกฤตเศรษฐกิจกับการชะลอตัวจากวงจรเศรษฐกิจไม่ใช่สิ่งเดียวกัน
วงจรทางเศรษฐกิจเมื่อเข้าสู่ช่วงชะลอตัว (Declining) เป็นภาวะปกติของวงจรเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นเสมอ
หลังการเติบโต (Growth) และอิ่มตัว (Saturation/Maturity) หลายคน (เมื่อดูจากการโพส)
จะตระหนกจนเศรษฐกิจเหมือนจะพังแบบปี 2540 ช่วงการชะลอตัวจนถดถอย (Recession)
ถ้ารุนแรง เกินไป แน่นอนว่าเป็นวิฤต (Crisis)
ตัวชี้หรือสัญญาณการชะลอตัวคือหลายๆค่าที่เราดูกันทั่วไป
เช่นอัตราดอกเบี้ย เงินเฟ้อ การขยายตัวสินเชื่อ อัตราการว่างงาน การส่งออก
ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (Production Index) อัตราการใช้กำลังการผลิต (Utilization
Rate) เป็นต้น
การเปลี่ยนแปลงตัวเลขชี้วัดเหล่านี้ก็จะนำเอาข้อมูลต่าง ๆ ทางเศรษฐกิจมาอธิบาย
เช่น ราคาน้ำมัน ระดับหนี้ภาคครัวเรือน อัตราเพิ่มลดใน NPL ฯลฯ
ซึ่งใช้บอกให้รู้ว่าเศรษฐกิจกำลังเข้าสู่วงจรใด กำลังชะลอตัวไหม ยังเติบโตไหม
แต่ไม่ได้ชี้ชัดว่ากำลังเกิดการถดถอยจนนำไปสู่วิกฤต และแน่นอนว่าการเกิด Crisis
ก็จะมีสัญญาณเช่นการชะลอตัวเหมือนกันในการพิจารณา
แต่การชะลอตัวไม่ใช่ว่าต้องเกิดวิกฤตเสมอดังที่กล่าวในตอนต้น
Ruang Alarm เป็นค่าวัดหนึ่งที่ผมเห็นว่าง่ายและสมเหตุสมผลดีที่ช่วยบอกว่าการชะลอตัวนั้นก่อให้เกิดวิกฤตได้หรือไม่
Ruang Alarm = ผลรวม (Current Account/GDP) 3 ปีติดต่อกัน ถ้า < -10% ถือว่า แย่ ยิ่งต่ำมากยิ่งเสี่ยงการเกิดวิฤตสูง
ถ้ามาเทียบกับหลักการวิเคราะห์การลงทุนที่พวกเราคุ้นเคย
(ผมนำมาใช้อธิบายเทียบเคียงเพื่อให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจ)
Current Account หรือดุลบัญชีเดินสะพัด
บอกว่าประเทศค้าขายมีกำไรหรือขาดทุน
บวกกับรายได้ค่าบริการ เช่นท่องเที่ยว บริการการเงิน ผลรวมสุทธิเป็นอย่างไร ถ้าขาดดุลบัญชีเดินสะพัด แสดงว่าประเทศมีรายได้สุทธิติดลบในช่วงปีนั้น
ถ้ามองเทียบบริษัทเหมือนกิจการหนึ่ง การค้าขายขาดทุนติดต่อกันสามปี
เมื่อเทียบกับผลลิตโดยรวมที่ตนเองทำได้ (GDP) ย่อมแสดงว่ากิจการน่าจะมีปัญหาค่อนข้างสูง
ในระดับประเทศการมีบวกบ้างลบบ้างเป็นเรื่องปกติ
และการสะสมสามปีติดต่อกันในระดับที่สูงจะไม่เรื่องที่ดี
เพราะจะสูญเสียทุนสำรองออกไป Current Account/GDP ที่มากย่อมแสดงว่าตัวหาร (GDP)
ต่ำ ก็หมายถึงเรานำเข้ามากินทิ้งกินขว้างมากกว่าการนำเอามาสร้างให้เกิดผลผลิตมวลรวมในประเทศ
(GDP) นั่นแสดงว่าคนข้างในรายได้เพิ่มต่ำ
การนำเข้าไม่เกิการสร้างผลผลิต ซ้ำยังทำขายก็ไม่มาก (การนำเข้ามาก
และเศรษฐกิจภายใน GDP คึกคัก ถือว่าดี – ตัวหารมาก Current Account/GDP จะติดลบน้อย
ย่อมไม่ก่อให้เกิดวิกฤต นั่นเป็นเหตุผลหนึ่งยกเว้นช่วง subprime
ที่อเมริกา มี
Ruang Alarm < -17% ของอเมริกาก็ลบทุกปี แต่ค่าสะสมสามปียังไม่เกิน ยกเว้นช่วงเกิดวิกฤต
ถ้าติดลบมาก ๆ ทางรัฐก็ต้องก่อหนี้สาธารณะ การก่อหนี้สาธารณะมีทุกปีอยู่แล้วเป็นเรื่องปกติทุกประเทศ
ที่สำคัญคือระดับหนี้ไม่ใช่ขนาดหนี้ดังที่เคยกล่าวในบทความก่อนหน้า
การติดลบมากย่อมเร่งการก่อหนี้เร็วมากขึ้น ทำให้หนี้สูงเกิน 60%
ต่อ GDP
ได้
ส่วน Ruangsirikulchai Index ใช้วัดความเสี่ยงทางการคลัง โดยค่านี้ = Pulbic Debt/GDP * 10
Yr Gov.Bond Yield
ถ้าเขียนใหม่ = Pulbic Debt* 10 Yr Gov.Bond
Yield /GDP = Interest/Revenue
ค่านี้บอกถถึงภาระดอกเบี้ยของภาครัฐที่ต้องแบกรับเมื่อเปรียบกับผลผลิตมวลรวมประเทศ
และรายได้ของรัฐ (ภาษี) ก็มาจาก GDP นี่เอง
ถ้าเกินกว่า 3% การคลังของประเทศจะมีความเสี่ยงมากขี้น
ถ้าฐานรายได้น้อย แต่ต้องจ่ายดอกเบี้ยมากจะทำให้คลังอาจต้องกู้มาจ่ายดอกเบี้ย
เหมือนกับเรากดเงินสดบัตรเครดิตจากใบหนึ่งมาจ่ายอีกบัตร
ทำวนไปไม่รอบหนี้เราจะเพิ่มทวีอย่างเร็วจนวงเงินเต็มจ่ายบัตรต่อไม่ได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น